ป้ายรณรงค์ “ผักปลอดสารพิษ” ประจำตลาด ตำบลแม่เมาะ
๑
ในการลงพื้นที่ภาคสนามของนักเรียนโรงเรียนนักข่าว TCIJ เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้ กฟผ.แม่เมาะ จ่ายเงินชดเชยปัญหาสุขภาพแก่ชาวบ้าน 131 รายที่ร่วมกันฟ้อง กฟผ.ในนาม”เครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ” ซึ่งเป็นคดียืดเยื้อมาถึงเกือบ 13 ปี มีชาวบ้านเจ็บป่วยล้มตายระหว่างการฟ้องร้องหลายคน
ทันทีที่เข้าไปถึงตลาด เราก็สะดุดกับป้ายผ้าขนาดใหญ่ที่ขึงพาดถนน รวมทั้งยังมีร้านค้าผักปลอดสารพิษอีกหลายร้าน ชวนให้ฉงนว่าเหตุไฉนคนแม่เมาะจึงใส่ใจเรื่องผักปลอดสารพิษมากถึงเพียงนี้ ฤาว่าความฝังใจเกี่ยวกับมลพิษสิ่งแวดล้อม ยังไม่จางหายไปจากความกังวลใจของชาวแม่เมาะ ?
เราจึงทำการสำรวจและสังเกตการณ์ “ข้าว ปลา อาหาร” รอบๆตลาดแห่งนี้ รวมทั้งการสัมภาษณ์พ่อค้าแม่ขายและประชาชนทั่วไปที่มาจับจ่าย เบื้องต้นพบว่า คนแม่เมาะส่วนใหญ่ มีพฤติกรรมเลือกซื้อผักที่ปลอดสารพิษ และมีความพยายามสอบถามผู้ขายถึงแหล่งที่มาที่ไปของปลา
๒
ตลาดประจำตำบล ตั้งอยู่ใจกลางเมืองแม่เมาะ เป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ขายทั้งอาหารสด และสินค้าเกษตร เหมือนตลาดตามต่างจังหวัดทั่วไป ต่างกันที่ที่นี้ ผู้บริโภคมีความต้องการผัก ปลา ที่ให้ความรู้สึกมั่นใจว่าจะไม่มีสารพิษปนเปื้อน จากการสัมภาษณ์ มีผู้ให้ข้อมูลว่าคนแม่เมาะทุกวันนี้ ยังติดนิสัยบริโภคปลาจากอ่างน้ำจืด ซึ่งมีอยู่มากมายหลายอ่างโดยรอบแอ่งแม่เมาะ รวมทั้งอ่างที่อยู่ในพื้นที่ขุมเหมืองถ่านหินแม่เมาะด้วย เป็นผลให้คนแม่เมาะยังมีความกังวลใจว่าจะมีความเสี่ยงจากการบริโภคปลาปนเปื้อนสารพิษจากโรงไฟฟ้า สังเกตได้ว่า คนชื้อส่วนใหญ่จะมีการถามไถ่แม่ค้าก่อนซื้อปลาว่า เป็นปลาจากอ่างไหน ถ้าเป็นปลาอ่างแก้วและอ่างแสม ก็จะไม่ซื้อ บางคนบอกว่าเคยเห็นปลาจากอ่างแสม มีแผลเต็มตัวและบางตัวถึงกับพุงแตก ว่ากันว่าเกิดขึ้นเมื่อครั้งเหตุการณ์ฝนกรดในแม่เมาะ ช่วงปี 2535 เป็นต้นมา
แต่เป็นเรื่องน่าสนใจ ที่การส่งเสริมกระบวนการผลิตพืชผักปลอดสารพิษนี้ กลับเป็นผลมาจากความริเริ่มของโรงพยาบาลแม่เมาะ ที่ก่อตั้งโครงการรณรงค์ “ผักปลอดสารพิษ” ขึ้นมา โดยมีองค์กรผู้สนับสนุนการรณรงค์และให้งบประมาณสนับสนุน คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.แม่เมาะ ที่มีโครงการด้านมวลชนสัมพันธ์อื่นๆอีกมาก อาทิ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งกฟผ.แม่เมาะจัดให้มีการบรรยายการปลูกผักปลอดสารพิษให้กลุ่มเกษตรกรแม่เมาะที่สนใจอย่างต่อเนื่อง โดยมีวิทยากรจากหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนมาให้ความรู้ จนทำให้ปัจจุบัน เกษตรกรสามารถรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มเกษตรกรปลูกผักปลอดสารพิษประมาณ 30 คน โดยมี สมโภช ปานถม หรือลุงอ้วน เป็นหัวหน้าดูแลโครงการดังกล่าว
๓
สมโภช ปานถม หรือลุงอ้วน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปลูกผักปลอดสารพิษ ประจำอำเภอแม่เมาะ กล่าวถึง การเริ่มต้นจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรผักปลอดสารพิษและการช่วยเหลือของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยว่า “การจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรปลูกผักปลอดสารพิษ เริ่มตั้งแต่ปี 2546 โดยเริ่มจากตนเอง ต่อมา กฟผ. เห็นถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจทำงานจริงของตน จึงเสนอให้รวมกลุ่มจัดตั้งเป็นกลุ่มเกษตรกรผักปลอดสารพิษ และสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้กลุ่มเกษตรกรผักปลอดสารพิษ เช่น ถนนลาดยาง อาคารหอประชุม โดยที่ปัจจุบันสมาชิกจากการจัดตั้งกลุ่มดังกล่าวอยู่ในราว 30 คน “
ลุงอ้วน ยังได้กลายเป็นวิทยากรประจำของ กฟผแม่เมาะ เวลามีหน่วยงานหรือนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม กฟผ.แม่เมาะ ทางกฟผ.ก็มักจะพามาชมกิจการของลุงอ้วนหรือเชิญลุงอ้วนไป ซึ่ลุงอ้วนเล่าด้วยความภาคภูมิใจว่า ลูกชายของลุงก็ได้ทำงานกับ กฟผ.แม่เมาะด้วย
ส่วน นางคำป้อ ออมแสง เกษตรกร อายุ 62 ปี ที่เข้าร่วมกลุ่มเกษตรกรปลูกผักปลอดสารพิษตั้งแต่ปี 2551 เดิมอาศัยอยู่หมู่บ้านหางฮุง ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่อพยพย้ายจากผลกระทบโรงไฟฟ้าแม่เมาะ และมีอาชีพเลี้ยงหมู ปลูกผัก ด้วยที่ดิน 2 ไร่ ปัจจุบัน ป้าคำป้อย้ายมาอยู่หมู่บ้านหนองมะแปป ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่ถูกจัดเป็นศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง และต้องซื้อที่ดินใหม่เพิ่มอีก 2 งาน เพื่อปลูกผักปลอดสารพิษ เนื่องจากได้รับการจัดสรรที่น้อยลง ทำให้ทำการผลิตได้ไม่เพียงพอ จากพื้นที่ทำกินเดิมมี 2 ไร่ และกำลังถูกควบคุมผูกขาดเมล็ดพันธุ์สำเร็จรูปจากบริษัทเมล็ดพันธุ์รายใหญ่ที่หาซื้อได้ตามท้องตลาด ปัจจุบัน แปลงผักของป้าคำป้อและบริเวณใกล้เคียง ถูกปล่อยให้รกร้าง ปราศจากการดูแล ซึ่ง ป้าคำป้อเล่าว่า
กฟผ.ให้ความช่วยเหลือในนามของกลุ่ม ในส่วนของการจัดซื้อจัดหาเมล็ดพันธุ์ สแลนและไม้ปักหลัก ส่วนรายการผักปลอดสารพิษที่ตนปลูกนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ กฟผ. แต่จะขึ้นอยู่กับหัวหน้ากลุ่มเกษตรกรปลูกผักปลอดสารพิษ ที่ รับรายการผักจากพ่อค้าแม่ค้าอีกทอดหนึ่ง สำหรับรายได้จากการขายผักปลอดสารพิษสูงสุดของตนนั้น อยู่ในราว 3,000 บาทต่อเดือน
“เฮาบ่ฉีดยา ใส่ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกเอา จะปลูกอะไรก็ได้ตามใจเฮา แต่แม่ค้าต้องมาฮับ ขายส่งกลุ่มไผกลุ่มมัน อย่างกะหล่ำ คะน้า เฮามีแกลบ มีขี้วัวคลุกกับดินเอา ขายดีที่สุด 3,000 บาทต่อเดือน ขายแย่ที่สุด 1,000 บาทต่อเดือน “
ข้าวปลาอาหารของคนแม่เมาะในวันนี้ มีความปลอดภัยและปลอดสารพิษจริงแท้แค่ไหน คงไม่อาจสรุปได้ แต่ความพยายามรณรงค์กิจกรรม CSR ด้วยโครงการปลูกผักปลอดสารพิษ โดย กฟผ.ที่ถูกกล่าวหาว่าคือผู้ก่อมลพิษ อาจกลายเป็นทางเลือกเล็กๆเท่าที่ผู้บริโภคจะเข้าถึงได้
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ