งานวิจัยเผยโครงสร้างสมองและสภาวะแปรปวนทางอารมณ์ต่างๆ เช่น ความเครียด อาการซึมเศร้า สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากแม่สู่ลูกสาวได้ (ที่มาภาพจาก: scientificamerican)
ตามปกติ เรามักเชื่อกันว่าสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พฤติกรรมบางอย่างของคนในครอบครัวเดียวกันคล้ายคลึงกัน
ในสังคมไทย สำนวนที่คุ้นหูกันดีอย่าง “ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่” เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของการอบรมเลี้ยงดูลูกสาวของแม่ และชวนให้เราเชื่อว่าการ “ดูออก” ว่าแม่เป็นคนอย่างไร ทำให้เรา “เห็น” ลักษณะนิสัยหรือพฤติกรรมที่แท้จริงของลูกสาวได้
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นใหม่ที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Neuroscience แสดงให้เห็นว่า การ “ดูนางให้ดูแม่” อาจมีประโยชน์จริงๆ ที่มากกว่าการหาคู่ครองที่เหมาะสมตามสำนวนโบราณ ยิ่งไปกว่านั้น ยังอาจมีพฤติกรรมเฉพาะบางอย่างที่สามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกได้จริงผ่านทางพันธุกรรม
งานวิจัยโดยทีมนักวิจัยด้านประสาทจิตวิทยาจากนานาชาติ ศึกษาโครงสร้างสมองของสมาชิกครอบครัวที่มีสุขภาพดี 35 ครอบครัว ด้วยการสแกนด้วยเครื่องตรวจวินิจฉัยโรคด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) พร้อมเปรียบเทียบหาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรของสมองเนื้อเทาในระบบคอร์ติโคลิมบิก (corticolimbic system) ระหว่างพ่อแม่กับลูก
งานวิจัยด้านประสาทวิทยาในช่วงหลังแสดงให้เห็นว่า ระบบคอร์ติโคลิมบิก ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่สมองหลายส่วน อาทิ อะมิกดะลา ฮิปโปแคมปัส รวมถึงบริเวณที่เรียกว่าแอนทีเรีย ซีนกูเลท คอร์เท็กซ์ (anterior cingulate cortex) ทำหน้าที่หลักๆ เกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ การตอบสนองต่อความรู้สึก เช่น ความเครียด ทั้งยังเกี่ยวข้องกับการแสดงอาการของโรคซึมเศร้าอีกด้วย
ผลการศึกษาพบว่าปริมาตรของเนื้อเทาในส่วนต่างๆ ของระบบดังกล่าวในสมองของแม่กับลูกสาวมีความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกันอย่างมีนัยสำคัญและเห็นได้ชัดเจนกว่าในกรณีของแม่กับลูกชายหรือพ่อกับลูกๆ ซึ่งอาจทำให้อนุมานได้ว่า ภาวะแปรปรวนทางอารมณ์ต่างๆ รวมถึงอาการของโรคซึมเศร้า อันมีความเชื่อมโยงกับการทำงานของระบบสมองส่วนนี้ มีโอกาสถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากแม่สู่ลูกสาวได้มากกว่าในกรณีอื่นๆ
ดร.ฟูมิโกะ เฮิฟ (Fumiko Hoeft) ศาสตราจารย์ด้านประสาทจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมวิจัย กล่าวว่าผลการวิจัยข้างต้นสนับสนุนข้อเสนอของงานวิจัยด้านคลินิกศึกษาหลายชิ้นก่อนหน้านี้ที่ชี้ให้เห็นว่า ภาวะแปรปรวนทางอารมณ์และโรคซึมเศร้าอาจถ่ายทอดข้ามรุ่นจากแม่สู่ลูกสาวได้อย่างมีนัยสำคัญกว่าลูกชาย อย่างไรก็ตาม เธอเห็นว่างานวิจัยชิ้นใหม่นี้มีความโดดเด่นตรงที่เป็นงานวิจัยชิ้นแรกที่ลงไปสแกนสมองของอาสาสมัครอย่างจริงจังเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับรากฐานทางประสาทที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดภาวะแปรปรวนทางอารมณ์ข้ามรุ่น
ทว่าแม้ผลการศึกษาจะช่วยให้เราตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญยิ่งของสิ่งที่สามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกได้ในช่วงตั้งครรภ์ และยังกระตุ้นให้เกิดคำถามต่อไปว่าปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการถ่ายทอดข้ามรุ่นในมนุษย์ แต่ ดร.เฌเนเวียฟ ปิเช่ (Geneviève Piché) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยควีเบก ประเทศแคนาดา ออกมาเตือนว่าเรายังไม่สามารถสรุปหรือตีความผลการวิจัยได้มากนักในตอนนี้
เธอมองว่าผลการศึกษานี้ได้มาจากการวิเคราะห์กลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กและเป็นกลุ่มตัวอย่างที่มีสุขภาพดีทั้งหมด ผลการวิจัยจึงอาจเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ก็ได้ หากศึกษาเจาะลึกในครอบครัวของผู้ที่มีประวัติป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหรือมีภาวะแปรปรวนทางอารมณ์โดยตรง ด้วยเหตุนี้ เราจึงจำเป็นต้องรอเปรียบเทียบผลการศึกษาดังกล่าวกับงานวิจัยที่จะต่อยอดต่อไปในอนาคต
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ