หากใครเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ ซึ่งมีการแปลเป็นภาษาไทยและขายดีจนมีการพิมพ์ฉบับแปลหลายครั้ง (มากกว่าต้นฉบับภาษาอังกฤษ) จะพบว่าเนื้อหาของหนังสือซึ่งแต่งจากประสบการณ์โศกนาฏกรรมรักของมหาเทวีสุจันทรี ชาวออสเตรีย (Inge Eberhard หลังจากแต่งงานครั้งที่สองเธอใช้นามสกุลสามีใหม่ Sargent) มหาเทวีของเจ้าจ่าแสงแห่งเมืองสีป้อ มีความสนุกตื่นเต้นไม่แพ้ละครหลังข่าว แม้เนื้อหาบางส่วนในหนังสือ (รวมทั้งในหนัง) จะแตกต่างจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ไปบ้างแต่ก็เข้าใจได้ว่านี่คือ “นวนิยาย” จากเหตุการณ์จริงที่เธอประสบ และเป็นการตีความเหตุการณ์และสถานการณ์โดยมุมมองผู้เขียน ซึ่งผมคิดว่าเขียนออกมาได้ดีและใกล้เคียงความเป็นจริง มากกว่านิยายที่เขียนถึงช่วงสงครามอังกฤษ-พม่า ครั้งที่ 3 “พม่าเสียเมือง” ของ คุณชายคึกฤทธิ์ เสียอีก
นับว่าโชคดีไม่น้อย ที่ผมมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์ Twilighlight Over Burma นี้ถึงสองครั้ง ต้องขอขอบคุณ ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมแห่งชาติ ที่ได้กรุณาแนะนำให้ผมได้รู้จักกับกงสุลกิตติมศักดิ์ออสเตรีย ประจำเชียงใหม่ ทำให้ผมมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ในรอบที่ฉายเป็นการส่วนตัวที่บ้านของท่านอาจารย์จุลทัศน์ กิติบุตร ศิลปินแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านศิลปะและวัฒนธรรม อาจารย์วิถี พานิชพันธ์ รวมทั้ง เจ้าวรจักร ณ เชียงตุง ราชบุตร ของเจ้าผู้ครองนครเชียงตุงองค์สุดท้าย นอกจากนี้ผมยังได้รับเชิญเข้าร่วมชมในรอบพิเศษที่จัดขึ้นโดยสถานเอกอัครราชทูตที่ หอศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สองวันหลังจากได้ฉายรอบพิเศษที่จัดขึ้นที่หอศิลปะและวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพ
ผมทราบมาว่า ความพยายามในการที่จะยับยั้งการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นมีมาตั้งแต่เมื่อครั้งจัดฉายรอบพิเศษแล้ว ต้องอาศัย “สายสัมพันธ์” พิเศษพอสมควรกว่าจะมีการยินยอมให้ฉายรอบพิเศษที่กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ได้อย่างหวุดหวิด สำหรับการถอดภาพยนตร์ออกจาก Thailand Film Destination Festival เหตุผลที่ผู้จัดแจ้งในตอนแรกคือมีความขัดข้องทาง ”เทคนิค” ซึ่งในความเป็นจริงไม่น่าจะขัดข้องอะไรเพราะเท่าที่ทราบตัวหนังที่ผู้สร้างเตรียมไว้ให้อยู่ในรูปแผ่นบลูเรย์ ซับไตเติ้ลภาษาไทยก็มีอยู่พร้อมแล้ว และหากเป็นไปตามที่มติชนออนไลน์เสนอข่าวว่าภาพยนตร์ถูกถอดเพราะเกรงจะกระทบความสัมพันธ์ ไทย-พม่า ก็ยิ่งไม่เข้าท่ายิ่งกว่า ก็ทีตำนานสมเด็จพระนเรศวรที่ทำออกมาตั้งหลายภาคนั้น ผมคิดว่าอาจจะมีเนื้อหากระทบความสัมพันธ์ ไทย-พม่า ยิ่งกว่านี้หลายเท่า
ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำในประเทศไทยหลายจังหวัด ช่วงระหว่างวันที่ 3-30 พฤศจิกายน 2557 ภาพยนตร์ที่จะมาถ่ายทำในประเทศไทยจะต้องมีการขออนุญาตจากกองกิจการภาพยนตร์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีการตรวจสอบสคริปต์ นอกจากนี้คณะกรรมการกองกิจการภาพยนตร์จะส่งตัวแทนไปควบคุมระหว่างถ่ายทำ ผู้สร้างมีความสงสัยว่าถ้าเนื้อหาของภาพยนตร์มีปัญหาทำไมจึงอนุญาตให้ถ่ายทำในประเทศไทย ผู้จัดงานให้คำตอบว่าคณะกรรมการชุดที่ให้อนุญาตใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำและคณะกรรมการตรวจพิจารณาภาพยนตร์นั้นเป็นกรรมการคนละชุดกัน
ผมคิดว่าเหตุผลเดียวที่หนังเรื่องนี้ถูกถอด คือเนื้อหาที่แสดงให้เห็นถึงความเลวร้ายป่าเถื่อนของรัฐบาลทหารในพม่า นายพล เน วิน ยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนซึ่งมาจากการเลือกตั้งของอูนุ ในปี 1962 ด้วยข้ออ้างว่าต้องการให้ประเทศมีความสงบจากการขัดแย้งและสงครามกลางเมือง เน วิน อยู่ในอำนาจนถึง 26 ปี เปลี่ยนแปลงพม่าไปมากจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเน่าๆ
หนึ่งปีก่อนหน้าที่ นายพล เน วิน จะลงจากตำแหน่งผู้นำสูงสุดในปี 1988 องค์การสหประชาชาติประกาศให้พม่าเป็นหนึ่งประเทศที่มีการพัฒนาน้อยที่สุด
ทันทีที่รัฐบาลเผด็จการทหารพม่ายึดอำนาจ ก็กวาดล้างจับกุมผู้เห็นต่าง หนึ่งในนั้นก็คือเจ้าจ่าแสง เจ้าฟ้าเมืองสีป้อ จนบัดนี้ยังไม่มีใครทราบว่าหลังจากรัฐบาลทหารคุมตัวเจ้าจ่าแสงไป ชะตากรรมของเจ้าจะเป็นอย่างไร
ในสภาปฏิวัติ (Revolutionary Council) ซึ่ง เน วิน ตั้งขึ้นมาบริหารประเทศแทนรัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งนั้นนั้น ไม่มีพลเมืองอยู่เลยสักคนเดียว สภาปฏิวัติ ส่งนายทหารเข้าควบคุมกิจการของรัฐ ดำเนินนโยบายชาตินิยมทางเศรษฐกิจ เพื่อมุ่งไปสู่เศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ยึดกิจการของเอกชนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ธนาคาร วิสาหกิจขนาดใหญ่ โรงงาน กิจการคมนาคมขนส่ง ร้านค้า แม้กระทั่งโรงเรียนก็ถูกยึดมาเป็นของรัฐ (Burmanization) แล้วแต่งตั้งนายทหารมาบริหาร ขับไล่ชาวจีนและอินเดียซึ่งเป็นเจ้าของกิจการเล็กน้อยๆ กว่าแสนคนออกนอกประเทศ โดยไม่คำนึงถึงว่าพ่อค้าชาวจีนและอินเดียเหล่านี้เป็นเจ้าของเครือข่ายที่สามารถกระจายสินค้าจากเมืองไปสู่ชนบท เมื่อเครือข่ายเหล่านี้ถูกทำลาย ไม่นานหายนะทางเศรษฐกิจก็มาเยือน เพราะรัฐบาลทหารมุ่งแต่ใช้งบประมาณในการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อปราบปรามชนกลุ่มน้อยและคอมมิวนิสต์ และนายทหารที่บริหารประเทศนั้นไม่มีความเชี่ยวชาญ ทั้งยังมีการทุจริตกันอย่างแพร่หลาย
ก่อนหน้าที่จะถูกทหารยึดอำนาจ พม่าไม่ได้ยากจน เมื่อเทียบกับประเทศไทย พม่าอาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ ด้วยความที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษ ทำให้พม่าเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกอย่างจริงๆ จังๆ ก่อนประเทศไทย ทุนนิยมในพม่าพัฒนาไปไกลกว่าไทยมาก เพราะเจ้าอาณานิคมอังกฤษทำให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนไปเป็นอุตสาหกรรม (Industrialization) ในพม่า ซึ่งมีมาก่อนประเทศไทยเกือบร้อยปี มหาวิทยาลัยในพม่าถูกจัดเป็นลำดับต้นๆ ของทวีปเอเชีย ประเทศไทยเสียอีกที่ต้องนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากพม่า
กว่าครึ่งศตวรรษที่ทหารเข้ามามีอำนาจนับจาก 1962 พม่าที่เคยรุ่งเรืองก็เป็นอย่างที่เราเห็น จากที่เคยผลิตสินค้าส่งออกมาขายให้ประเทศเพื่อนบ้าน พม่าเป็นประเทศที่ซื้อเกือบทุกอย่างจากเพื่อนบ้าน ชาวพม่าต้องออกหนีออกไปทำงานยังประเทศเพื่อนบ้าน ถูกเอารัดเอาเปรียบตั้งแต่ขบวนการจัดหาแรงงาน นายหน้า ผู้นำทาง นายจ้าง เจ้าหน้าที่ของประเทศปลายทาง และยังถูกดูแคลนจากประชาชนของประเทศนั้นๆ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ถูกย่ำยีแทบไม่เหลือ แต่ที่ต้องทนก็เพราะไม่มีทางเลือก
ผมว่าสาเหตุที่ภาพยนตร์ Twilight Over Burma ไม่ได้ฉาย ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกเหนือไปจากเนื้อหาของภาพยนตร์ อาจทำให้คนในสังคมไทยที่ได้รับชมตั้งคำถาม ว่า นี่ตกลงเราอาศัยอยู่ในพม่าหลัง 1962 หรือ ประเทศไทย 2016 กันแน่
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ