พบนักข่าวหญิง ภาพลักษณ์ยังถูกผูกติดกับข่าวบันเทิง เสี่ยงถูกละเมิดทางเพศทั้งจากเพื่อนร่วมงานและแหล่งข่าว ไร้กลไกดูแล ขณะที่โอกาสก้าวหน้าในอาชีพยังเป็นรองนักข่าวชาย
กว่าสองทศวรรษ นับจากปฏิญญาปักกิ่งและแผนปฏิบัติเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศถูกบัญญัติขึ้นในปี 2538 ความเสมอภาคทางเพศของสตรีในงานสื่อมวลชน คือหนึ่งในความห่วงใยที่ถูกระบุในปฏิญญา อย่างไรก็ตาม จากรายงานของยูเอ็นวีแมน เรื่อง “เบื้องหลังข่าว – ความท้าทายและแรงบันดาลใจของนักข่าวผู้หญิงในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก” สำรวจการทำงานของนักข่าวทั้งชายและหญิงราว 700 คนในภูมิภาคอาเซียนที่มีประสบการณ์ทำงานกว่า 10 ปี เผยแพร่เมื่อปี 2558 พบว่า 1 ใน 5 ของนักข่าวหญิงมักถูกคุกคามทางเพศในที่ทำงาน โดยเฉพาะจากบุคลากรที่มีตำแหน่งสูงกว่า อีกทั้งความก้าวหน้าในอาชีพยังเป็นรองนักข่าวชาย รวมทั้งภาพลักษณ์ส่วนใหญ่ของนักข่าวหญิงก็มักผูกอยู่คู่กับข่าวบันเทิง
นักข่าวหญิง ถูกผูกติดข่าวบันเทิง โอกาสก้าวหน้าน้อยกว่าชาย
นิธินันท์ ยอแสงรัตน์ ที่ปรึกษากลุ่มสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สำนักข่าวมติชน สะท้อนประสบการณ์ทำงานกว่า 40 ปีในสนามข่าวว่า แม้เรื่องความเท่าเทียมทางเพศระหว่างชายหญิงจะไม่ใช่ปัญหาหลักในการทำงาน นักข่าวหญิงสามารถทำงานข่าวภาคสนามในประเด็นที่ท้าทายได้ไม่ต่างกับนักข่าวชาย แต่สิ่งที่ต่างกันคือเรื่องความก้าวหน้าในสายอาชีพ การขึ้นสู่ตำแหน่งบรรณาธิการข่าวของผู้หญิงค่อนข้างยาก ที่ผ่านมาผู้บริหารสื่อส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ซึ่งมักส่งต่อตำแหน่งบรรณาธิการให้กับนักข่าวชายเป็นหลัก ส่วนนักข่าวหญิงจะได้รับตำแหน่งหัวหน้าข่าวสังคม ข่าวการศึกษา หรือประเด็นข่าวที่มีความสำคัญลำดับรอง เช่น ข่าวบันเทิง
“ในกรอบคิดการทำงานแบบเก่ามักมองว่า ผู้ชายจะสนใจข่าวการเมืองมากกว่า และคิดว่าข่าวการเมืองเท่านั้นที่มีความสำคัญ นักข่าวชายส่วนใหญ่จึงมักได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบข่าวประเภทนี้เป็นหลัก ขณะที่ข่าวสาธารณสุข ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการศึกษา ถูกให้ความสำคัญเป็นลำดับรองลงมา นักข่าวผู้หญิงจึงมักจะถูกให้รับผิดชอบข่าวประเภทนี้แทน”
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าในองค์กรสื่อผู้หญิงจะไม่มีโอกาสขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูง นิธินันท์กล่าวว่า ผู้หญิง สามารถขึ้นสู่ตำแห่งงานบริหารได้ไม่ยาก แต่ไม่ใช่ในฐานะคนทำงานข่าว หากแต่มักเป็นสายงานโฆษณาหรือการตลาด พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ฝ่ายการตลาดได้พยายามเข้ามาควบคุมการทำงานของฝ่ายบรรณาธิการด้วยคติการทำเงินเข้าบริษัทเป็นหลัก
นันท์ชนก วงษ์สมุทร์ ผู้สื่อข่าวโต๊ะซันเดย์ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ เจ้าของรางวัลสื่อมวลชนดีเด่นด้านสิทธิมนุษยชนประจำปี 2558 ที่มอบให้โดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นเนล ประเทศไทย สะท้อนถึงประสบการณ์การทำงานเกือบ 7 ปีในสนามข่าวว่า แม้เรื่องเพศสภาพจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่สื่อมวลชน แต่ทัศนคติของสังคมยังคงมองอาชีพนักข่าว โดยเฉพาะนักข่าวภาคสนามว่าเป็นงานที่เสี่ยงอันตรายสำหรับผู้หญิง รวมถึงทัศนคติของเพื่อนร่วมสายอาชีพ หรือบรรณาธิการข่าว ที่มักให้นักข่าวหญิงรับผิดชอบงานข่าวที่ไม่รุนแรง
ขณะที่ภาพลักษณ์ของนักข่าวผู้หญิงส่วนใหญ่ในมุมมองของนันท์ชนก ยังถูกผูกอยู่กับข่าวบันเทิง หรือข่าววัฒนธรรม เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า หลายครั้งเมื่อแนะนำตัวกับแหล่งข่าวว่ามาจากโต๊ะข่าวเศรษฐกิจจะถูกถามกลับในทันที เพราะคิดว่านักข่าวผู้หญิงส่วนใหญ่จะรับผิดชอบแต่ข่าวบันเทิง
“ปัจจุบันโลกเปลี่ยนไปแล้ว ประเด็นข่าวหนักๆ ไม่จำกัดอยู่เฉพาะนักข่าวชาย ปัจจุบันแผนกข่าวสืบสวนที่รับผิดชอบอยู่ ทั้งแผนกมีนักข่าวชายเพียงคนเดียวตั้งแต่ก่อตั้ง และไม่เคยเพิ่มจำนวนขึ้นเลย และก็ไม่ได้ป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์ผลงานของพวกเราแต่อย่างใด”
สำหรับความก้าวหน้าในสายอาชีพ นันท์ชนกมองว่า นักข่าวหญิงส่วนใหญ่สามารถก้าวขึ้นไปได้ถึงระดับบรรณาธิการข่าว ซึ่งในองค์กรต้นสังกัดของตน บรรณาธิการข่าวหลายคนเป็นผู้หญิง อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับตำแหน่งระดับบรรณาธิการบริหารสื่อ สัดส่วนของผู้หญิงยังถือว่าน้อยมาก
เสี่ยงถูกล่วงละเมิดทางเพศ จากเพื่อนร่วมงานและแหล่งข่าว
เพศหญิง ไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพใด มักตกเป็นเป้าหมายของการถูกล่วงละเมิดทางเพศทั้งจากในและนอกองค์กร เช่นเดียวกับอาชีพชื่อมวลชน ซึ่งจากรายงานของยูเอ็นวีแมน ชี้ว่า 1 ใน 3 ของนักข่าวหญิงที่ได้รับการสำรวจระบุว่า เห็นการถูกคุมคามทางเพศในที่ทำงาน และเกือบ 1 ใน 5 ของนักข่าวหญิงที่ได้รับการสำรวจ ถูกคุกคามทางเพศในที่ทำงาน และร้อยละ 59 ในกลุ่มนี้ถูกคุกคามโดยผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า ขณะที่ครึ่งหนึ่งในกลุ่มนี้ถูกคุกคามโดยเพื่อนร่วมงาน มากไปกว่านั้นองค์กรสื่อส่วนใหญ่ไม่มีกลไกในการร้อง เรียน หรือไม่มีนโยบายต่อต้านการคุกคามทางเพศอย่างเป็นทางการในที่ทำงาน
ในประเด็นเรื่องการถูกล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้นกับนักข่าวหญิง ทั้ งนิธินันท์และนันท์ชนก ต่างสะท้อนเป็นเสียงเดียวกันว่า นักข่าวหญิงมักถูกล่วงละเมิดทางเพศเป็นประจำ ทั้งจากเพื่อนร่วมงานและแหล่งข่าวที่เป็นเพศตรงข้าม เช่น ทางวาจา โดยเฉพาะกับนักข่าวผู้หญิงที่เข้าข่ายหน้าตาและบุคลิกภาพดี มักตกเป็นเป้าหมายของการล่วงละเมิดทางเพศ หนึ่งในปัจจัยของปัญหาดังกล่าว นิธินันท์ระบุว่า สาเหตุหลักมาจากทัศนคติของเพศชายที่ยังมองว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่มีไว้เพื่อชื่นชมในความงามน่ารัก หรือเพื่อเชยชม มากกว่าจะใส่ใจคุณค่าสมอง และเห็นผู้หญิงเป็นเพื่อนร่วมงาน
ขณะที่นันท์ชนกระบุว่า เรื่องการล่วงละเมิดทางเพศในหลายกรณีเกิดจากแหล่งข่าวหรือเพื่อนร่วมงานแสดงความสนใจเรา และหากเราแสดงความสนใจตอบในลักษณะชู้สาว ในทางหนึ่งอาจเป็นการส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายคิดว่าสามารถแสดงออกได้มากกว่านั้น นันท์ชนกมองว่าเป็นเรื่องปกติที่นักข่าวผู้หญิงจะถูกเกี้ยวพาราสีจากแหล่งข่าวหรือจากผู้ชายในองค์กร ที่สำคัญคือต้องมองสถานการณ์ให้เข้าใจและวางตัวให้ถูก
หากไล่เรียงดูจะพบว่า ตั้งแต่ภาพลักษณ์ของนักข่าวหญิงที่ถูกตราประทับไว้กับข่าวบันเทิง หรือการสงวนข่าวเฉพาะประเด็นสำคัญให้กับนักข่าวชาย ตลอดจนการตกเป็นเป้าของการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะสายอาชีพสื่อมวลชน เหล่านี้ อาจต้องกลับมาตั้งคำถามว่า ในกระแสที่ความเท่าเทียมทางเพศ ไปไกลเกินกว่าแค่ความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง หากยังรวมถึงเพศทางเลือกด้วย แต่วงการสื่อมวลชนยังคงยึดโยงความสามารถของคนทำงานไว้กับเพศสภาพอย่างนั้นหรือ ?
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
จับตา: รายได้ ตำแหน่งงาน นักข่าวหญิงในเอเชีย
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ