กทม.ตรวจพบปัญหาฝุ่นละอองตั้งแต่เดือน พ.ค.-ก.ค. 2559 พบว่าปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน มีค่าเกินมาตรฐาน ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน มีค่าเกินมาตรฐาน ชี้สาเหตุหลักเกิดจากปริมาณรถยนต์เพิ่มขึ้น ปัญหาสิ่งปลูกสร้าง สถานีรถไฟฟ้า โรงงาน รวมทั้งร้านอาหารปิ้งย่างก่อมลพิษต่อระบบทางเดินหายใจ (ที่มาภาพประกอบ: wikipedia.org)

ไทยโพสต์ รายงานว่านางสุวรรณา จุ่งรุ่งเรือง ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กทม.ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพอากาศในกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินสถานการณ์คุณภาพอากาศและกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ โดยระยะแรก กทม.เฝ้าระวังคุณภาพอากาศและเสียงจำนวน 4 สถานี ได้แก่ สถานีสำนักงานเขตราชเทวี สถานีสำนักงานเขตราษฎร์บูรณะ สถานีสำนักงานเขตพระโขนง และสถานีสวนป่าวิภาวดีรังสิต ปัจจุบันได้ติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศและเสียงเพิ่มเติม 50 สถานี ครอบคลุมทุกเขตพื้นที่ของ กทม.

ทั้งนี้จากการตรวจวัดในรอบ 3 เดือน ตั้งแต่เดือน พ.ค.-ก.ค. 2559 พบว่าปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน มีค่าเกินมาตรฐาน ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน มีค่าเกินมาตรฐาน ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์มีค่าเกินมาตรฐาน ยกเว้นก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์มีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เมื่อเปรียบเทียบกับผลการตรวจวัดในช่วงเวลาเดียวกัน ช่วง พ.ค.-ก.ค. 2558 พบว่ามีปัญหาฝุ่นละอองเช่นเดียวกัน

"สาเหตุหลักของฝุ่นละอองมาจากรถยนต์ที่วิ่งบนท้องถนน ด้วยปริมาณรถยนต์บนท้องถนนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับปัญหาการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่ รวมไปถึงการก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าและปัญหาจากโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนี้การปิ้งย่างอาหารด้วยเตาถ่านบริเวณริมทางเท้าข้างทางยังก่อให้เกิดสารอินทรีย์ระเหยง่าย ซึ่งจะเปลี่ยนรูปเป็นโอโซนที่เป็นพิษต่อระบบทางเดินหายใจอีกด้วย"

นางสุวรรณากล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักสิ่งแวดล้อมยังคงดำเนินมาตรการลดมลพิษทางอากาศอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับสำนักงานเขต 50 เขต เข้มงวดในการตั้งจุดตรวจจับรถยนต์ควันดำบริเวณริมถนน เพิ่มจำนวนรถดูดฝุ่นและเพิ่มความถี่ของการล้างถนนให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยเขตชั้นในให้มีรถดูดฝุ่นและล้างถนนทุกวัน เขตในเมืองล้างถนนวันเว้นวัน เขตชานเมืองล้างถนนสัปดาห์ละครั้ง และบริเวณแนวก่อสร้างรถไฟฟ้าเพิ่มความถี่ในการล้างถนนให้มากขึ้นกว่าเดิมเพื่อลดฝุ่นละออง พร้อมให้เขตกำชับรถบรรทุกล้างล้อรถก่อนออกจากบริเวณที่มีการก่อสร้าง และต้องมีผ้าใบปิดคลุม เพื่อป้องกันฝุ่นฟุ้งกระจาย ส่วนประชาชนที่มีบ้านเรือนอยู่ติดถนนช่วยกันดูแลรักษาความสะอาดหน้าบ้านตนเอง รวมถึงผู้ค้าริมบาทวิถีต้องทำความสะอาดทุกครั้งที่ประกอบการค้าขาย เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่น่าอยู่อย่างยั่งยืน.