ผลสำรวจเศรษฐานะกองทุนสุขภาพ พบ ขรก.คนรวยมากสุด สูงถึงร้อยละ 78.8 คนจนมีเพียงร้อยละ 9.7 เท่านั้น ขณะที่บัตรทองคนจนมากสุด ร้อยละ 37.5 คนรวยมีเพียงร้อยละ 23 สะท้อนความแตกต่างของผู้มีสิทธิ นักวิชาการระบุแนวทางร่วมร่วมจ่ายควรคำนึงถึงความแตกต่างทางฐานะ หวั่นหากเฉลี่ยเท่ากันคนจนได้รับผลกระทบ ไม่เห็นด้วยแนวทางร่วมจ่าย (แหล่งที่มาภาพจาก:Hfocus )
27 ก.พ. 59 เว็บไซต์Hfocus รายงานเมื่อเร็วๆนี้ว่า รศ.ภก.สุพล ลิมวัฒนานนท์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวถึงผลการวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลการสำรวจอนามัยและสวัสดิการครัวเรือนทั่วประเทศของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่ได้ทำการสำรวจทุก 2 ปี โดยนำของปี 2556 มาใช้ในการติดตามและวิเคราะห์ระบบหลักประกันสุขภาพในประเทศไทย โดยเฉพาะใน 3 กองทุนสุขภาพหลัก คือ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนรักษาพยาบาลประกันสังคม และกองทุนรักษาพยาบาลสวัสดิการข้าราชการ โดยได้ติดตามตั้งแต่ปี 2546 ในช่วงเริ่มต้นนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อดูการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของประชาชน รวมถึงเศรษฐานะของครัวเรือนทั้ง 3 กองทุน ที่วิเคราะห์จากทรัพย์สินที่มีอยู่เพื่อวิเคราะห์ ถึงความแตกต่างของเศรษฐานะที่มีผลการเข้าถึงการรักษาในสถานพยาบาลแต่ละระดับ โดยในประเด็นนี้ได้นำเสนอต่อที่ประชุมหลักประกันสุขภาพระดับชาติที่ผ่านมา
จากข้อมูลชุดเดียวกันนี้ยังสะท้อนว่าผู้มีสิทธิทั้ง 3 กองทุนมีเศรษฐานะที่แตกต่างกันจริง จากการสุ่มเปรียบเทียบกลุ่มตัวอย่างประชากร 67 ล้านคนใน 3 กองทุน โดยแบ่งกลุ่มเศรษฐานะออกเป็น 5 ระดับ ซึ่งพบว่าผู้มีสิทธิกองทุนรักษาพยาบาลสวัสดิการข้าราชการส่วนใหญ่หรือร้อยละ 78.8 มีเศรษฐานะที่ดีอยู่ในระดับบน โดยร้อยละ 58.7 เป็นกลุ่มที่อยู่ในระดับรวยที่สุด โดยเป็นกลุ่มที่จนสุดและจนรองลงมามีเพียงแค่ 9.7 เท่านั้น ซึ่งสวนทางกับผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีกลุ่มระดับจนจำนวนมาก โดยเป็นกลุ่มระดับจนที่สุดและจนรองลงมาถึงร้อยละ 37.5 ส่วนกลุ่มที่มีเศรษฐานะที่ดีระดับบนมีร้อยละ 23 ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มระดับที่รวยที่สุดเพียงร้อยละ 14.3
ต่อข้อซักถามว่า งานวิจัยนี้สามารถชี้ว่าข้าราชการเป็นกลุ่มที่มีรายได้มากได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาการให้สิทธิรักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการมักระบุเหตุผลว่า เป็นผู้มีรายได้น้อย รศ.ภก.สุพล กล่าวว่า การระบุดังกล่าวคงเป็นการเปรียบเทียบรายได้กับภาคเอกชน แต่ทั้งนี้ข้าราชการในระบบยังแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่เป็นข้าราชการและกลุ่มที่เป็นลูกจ้างประจำ และยังมีอีกหลายกลุ่ม หากจะสรุปในประเด็นนี้คงต้องมีการแยกย่อยในข้อมูลอีก แต่จากข้อมูลวิจัยข้างต้นนี้สามารถสะท้อนครัวเรือนในสังคมที่มีความต่างกัน ดังนั้นการเปรียบเทียบระบบสุขภาพทั้ง 3 กองทุน ต้องคำนึงถึงเศรษฐานะด้วยไม่ใช่ดูแค่ระบบอย่างเดียว
สำหรับการเชื่อมโยงกับข้อเสนอการร่วมจ่าย รศ.ภก.สุพล กล่าวว่า การร่วมจ่ายรักษาพยาบาลมี 2 รูปแบบ คือ การร่วมจ่ายตอนรักษาพยาบาลหรือการร่วมจ่ายก่อนเจ็บป่วย ซึ่งกรณีร่วมจ่ายช่วงรักษาพยาบาลในทางทฤษฎีเราไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว เพราะเป็นความเสี่ยงของผู้ป่วยไม่ว่าจะจนหรือรวย โดยขณะนี้มีการพูดถึงตัวเลขการร่วมจ่ายที่ร้อยละ 10 หากเป็นการจ่ายขณะที่ป่วย ถ้าค่ารักษา 1,000 บาทก็แค่ 100 บาท แต่หากเป็น 100,000 บาทเท่ากับหนึ่งหมื่นบาท ทั้งนี้หากเป็นการจ่ายก็ล่วงหน้าก็ควรเป็นการจ่ายตามความสามารถของรายได้
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ