กระทรวงพาณิชย์เผยปี 2559 ต่างชาติทำธุรกิจในไทย 352 ราย ลดลงร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับปี 2558 มีเม็ดเงินลงทุน 7,443 ล้านบาท ญี่ปุ่นครองแชมป์อันดับ 1 ตามมาด้วยสิงคโปร์และจีน ปีนี้คาดธุรกิจบริการเกี่ยวกับด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยจะมีการเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น ที่มาภาพประกอบ: TheDigitalWay (CC0)
สำนักข่าวไทย รายงานเมื่อวันที่ 2 ม.ค. 2559 ที่ผ่านมาว่านางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในฐานะเลขานุการคณะกรรมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวกล่าวว่าในปีที่ผ่านมาอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยจำนวน 352 ราย ลดลงร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับปี 2558 เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ที่ส่งผลต่อจิตวิทยาในการลงทุนของนักธุรกิจต่างชาติที่ยังคงรอความมั่นใจในสภาวะเศรษฐกิจโลกให้นิ่งและมั่นคงมากขึ้น
สำหรับมูลค่าการลงทุน ในธุรกิจของคนต่างด้าวในปีที่ผ่านมามีจำนวน 7,443 ล้านบาท ประเทศที่ได้รับอนุญาต’ให้ประกอบธุรกิจตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น คิดเป็นร้อยละ 40 สิงคโปร์ ร้อยละ 14 และจีน ร้อยละ 7 ประเภทธุรกิจ ที่คนต่างด้าวมาลงทุนมากที่สุด 5 ประเภทคือ ธุรกิจบริการให้แก่บริษัทในเครือ คิดเป็นร้อยละ 33 จำนวนเงินลงทุน 1,969 ล้านบาท ธุรกิจบริการสำนักงานผู้แทน คิดเป็นร้อยละ 27 จำนวนเงินลงทุน 303 ล้านบาท 3. ธุรกิจค้าปลีก/ค้าส่ง คิดเป็นร้อยละ 15 จำนวนเงินลงทุน 574 ล้านบาท 4.ธุรกิจบริการเป็นคู่สัญญาภาครัฐและเอกชน คิดเป็นร้อยละ 14 จำนวนเงินลงทุน 3,248 ล้านบาท และ 5.ธุรกิจบริการแก่คู่ค้า/ลูกค้าอื่น คิดเป็นร้อยละ 11 จำนวนเงินลงทุน 1,349 ล้านบาท
นอกจากนี้ ธุรกิจต่างชาติยังจ้างงานและสร้างรายได้ให้แก่คนไทย 7,000 คน ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมพัฒนาทักษะ สร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ และเปิดรับนวัตกรรมที่ทันสมัยจากนักลงทุนต่างชาติภายใต้เงื่อนไขการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยปีที่ผ่านมา แรงงานไทยได้รับการพัฒนาทักษะในด้านที่มีผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ 4 ด้านคือ ด้านยานยนต์ พลังงาน การก่อสร้าง และด้าน ICT การพัฒนาโปรแกรม Cloud ระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลลับที่เกี่ยวกับการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับแนวโน้มการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในปีนี้ คาดการณ์ว่า ธุรกิจที่ต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น คือ ธุรกิจบริการที่เกี่ยวกับด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบาย Thailand 4.0 ที่เน้นเรื่องการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ ในการประกอบธุรกิจ และรูปแบบการทำธุรกิจในปัจจุบันจะเป็นการทำธุรกิจผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ