คณะกรรมการสอบสวนที่รัฐบาลพม่าแต่งตั้งขึ้น เพื่อสอบสวนของรัฐบาลพม่าต่อเหตุความรุนแรงในรัฐยะไข่เมื่อปีก่อน ที่ทำให้ชาวมุสลิมโรฮิงญาหลายหมื่นคนต้องหลบหนีไปยังชายบังคลาเทศรวมถึงประเทศใกล้เคียง และนำมาซึ่งข้อกล่าวหาของสหประชาชาติ (United Nations; UN) เกี่ยวกับการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ได้ข้อสรุปผลการสอบสวนคำกล่าวหาว่ากองกำลังความมั่นคงของพม่าไม่มีการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามที่ UN รายงานว่าเกิดการ ข่มขืน ฆ่า และวางเพลิงบ้านเรือนชาวมุสลิมโรฮิงญาในรัฐยะไข่ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้รับการแต่งตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนเหตุการณ์นองเลือดที่เริ่มต้นขึ้นในรัฐยะไข่ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของพม่า ภายหลังกองกำลังติดอาวุธชาวโรฮิงญาโจมตีและสังหารตำรวจตระเวนชายแดนเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ขณะที่ข้อสรุปถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ซึ่งสาระสำคัญคือการปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดของ UN แต่จากการตรวจสอบพบเพียง 'การทำเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงรายบุคคลในระดับล่าง' เท่านั้น รวมถึงการให้เหตุผลว่าในบางเหตุการณ์ที่ UN อ้าง เหมือนเป็นการแต่งขึ้นสมมติขึ้น เพราะไม่มีหลักฐาน หรือมีก็เพียงเล็กน้อย

ด้านรองประธานาธิบดี Myint Swe ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่ามีการข่มขืนโดยทหารขณะเข้ากวาดล้างตามหมู่บ้านต่างๆ ของชาวโรฮิงญา ในปฏิบัติการปราบปรามด้านความมั่นคง ที่กองทัพดำเนินการเพื่อตอบโต้เหตุโจมตีร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับด่านชายแดนตำรวจ โดยกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบก่อนหน้านี้ในเดือนตุลาคม ปีที่ผ่านมา ในพื้นที่เมืองเมิงดอว์ (Maungdaw) ของรัฐยะไข่

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปพิจารณารายงานผลการสอบสวนของ UN ที่สัมภาษณ์ชาวโรฮิงญากว่า 200 คนที่หลบหนีออกจากพื้นที่มายังชายแดนบังคลาเทศ พบว่ามีความเป็นไปได้สูงที่การปราบปรามของทางการพม่าจะเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ไม่ว่าการข่มขืนผู้หญิง การฆ่าเด็ก และทรมานผู้ชายชาวโรฮิงญา แต่น่าแปลกใจว่าการสอบสวนของทางการพม่า กลับไม่พบเหตุการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ในรายงานยังกล่าวโจมตีรายงานของ UN ว่า ขาดความเป็นกลาง และไม่ให้น้ำหนักกับความรุนแรงที่เกิดจากการโจมตีของชาวโรฮิงญา

ที่มาข่าวและภาพประกอบ: The Independent, 6/8/2017