ตั้งคำถามดัง ๆ ต่อทุกฝ่าย หากเดินหน้าอุตสาหกรรมแบตเตอรรี ว่าจะสามารถควบคุมการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายนี้ให้อยู่กรอบมาตรฐาน การใช้แรงงานเพื่อทำงานที่อันตรายมีการให้ความรู้เกี่ยวกับสารเคมีและสุขภาพในการทำงานกับการป้องกันเพียงใด? เจ้าหน้าที่รัฐตรวจโรงงานอย่างทั่วถึงหรือไม่? และแรงงานได้ประโยชน์อะไรจากการลงทุนนี้? ที่มาภาพประกอบ: metaefficient.com
เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ 5 บริษัทลงทุนกว่าแสนล้านในภาคตะวันออก ผลิตแบตเตอรี่ [1] ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมหนักที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและลงทุนมหาศาล สอดคล้องกับแผนลงทุนของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ โตโยต้า นิสสัน และค่ายรถยนต์จากยุโรป ที่กำลังปรับตัวเข้าสู่เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ทั้ง อีวี ไฮบริด และปลั๊ก-อินไฮบริด ตามเงื่อนไขส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาล รวมถึงสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมใหญ่ที่สุดในโลก [2] แต่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคนงานได้
ในการผลิตแบตเตอรรีนั้นมีประเด็นที่สำคัญคือต้องระวังสารเคมีที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น ตะกั่ว ดีบุก กรดซัลฟูริกกรณีตัวอย่างจากการทำงานในโรงงานผลิตแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกของประเทศไทย (ไม่สามารถเปิดเผยแหล่งที่มาของข้อมูลได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจสอบผลกระทบและการร้องเรียนในขั้นต่อไป) โดยกลุ่มคนงานโรงงานแห่งนี้ได้เข้ารับการตรวจสุขภาพ ตรวจเลือดเพื่อค้นหาความผิดปกติ มีอาการปวดศีรษะ มึนงง ปวดข้อ คลื่นไส้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ปวดบิดอย่างรุนแรงในท้องเป็นพัก ๆ ท้องเสีย สิ่งที่พบเบื้องต้น คือ
- คนงานจำนวน 22 คน ส่วนใหญ่มีภาวะโลหิตจาง
- คนงานจำนวน 21 คน มีสารตะกั่วเกินค่าอ้างอิง
- คนงานจำนวน 18 คน มีสารตะกั่วสูงเกิน 60 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร
- คนงาน 8 คน มีสารตะกั่วสูงเกิน 100 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร
- คนงานรายที่มีระดับตะกั่วสูงสุด มีค่า 90 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร
- คนงานที่มีปริมาณสารตะกั่วในเลือดต่ำสุด มีค่า 95 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร (เป็นคนงานไทย ทำงานไลน์ฉาบ ไลน์ตัด อายุงาน 3 เดือน)
บุญยืน สุขใหม่ ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่าพนักงานทั้งหมดของโรงงานนี้แบ่งเป็นแรงงานไทย 50 คน แรงงานพม่า 550 คน ลาว 50 คน และจีน 50 คน รวมทั้งสิ้น 700 คน
ทั้งนี้คนทั่วไปสามารถทำความเข้าใจกับระดับค่าสารตะกั่วได้เบื้องต้น จากข้อมูลจากสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมดังตารางแสดงระดับตะกั่วในเลือด ไมโครกรัม/เดซิลิตร (µg/dl) [3] กับการส่งผลกระทบต่อร่างกาย ดังนี้
ระดับตะกั่วในเลือด (µg/dl) |
ผลกระทบต่อร่างกาย |
5 |
Transplacental transfer (การถ่ายโอนเชื้อสู่รก) |
10 |
Developmental toxicity (พัฒนาเป็นพิษในเด็ก) |
20 |
Erythrocyte protoporphyrin โมเลกุลเม็ดเลือดแดงเพิ่ม |
50 |
Porphyrin enzyme ลด และ metabolites เพิ่ม |
60-100 |
Symptomatic เช่น Colic, anemia, neuropathy (เช่น ปวดบิดในทารก โลหิตจาง และโรคเส้นประสาท) |
100 |
Encephalopathy (ความผิดปกติทางสมอง) |
150 |
Death (เสียชีวิต) |
ประเทศไทยมีข้อกำหนด/มาตรฐานการใช้ตะกั่ว โดยระดับตะกั่วในเลือดของคนทั่วไปไม่ควรเกิน 30µg/dl และค่าที่ยอมให้มีไว้ชั่วคราวในคนทำงานสัมผัสกับสารตะกั่ว ไม่ควรเกิน 60 µg/dl อีกทั้ง มีค่าควบคุมของตะกั่วในน้ำ ให้ควบคุมไม่เกิน 0.2 mg/l [4] แต่โรงงานอาจมีการปล่อยน้ำที่ค่าตะกั่วเกินการควบคุมออกสู่ระบบลำธารธรรมชาติที่มีความเข้มข้นกว่า 2.6 mg/l ได้ และบางครั้งน้ำในบ่อบำบัดอาจมีค่าตะกั่วสูงกว่า 10 mg/l และสามารถล้นออกจากบ่อพักในระหว่างที่ฝนตก และฝุ่นตะกั่วที่เกิดจากการผลิตและหลอมตะกั่วสามารถฟุ้งกระจายในอากาศ [5] มีความเข้มข้นมากถึง 1.5 แสน ppm. (หนึ่งส่วนในล้านส่วน) ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพของพนักงานได้ ดังภาพประกอบด้านล่างนี้
ภาพประกอบที่ 1 ฝุ่นตะกั่วจำนวนมากตกบนพื้น
ภาพประกอบที่ 2 กวาดฝุ่นตะกั่วใส่ถุง
คำถามคือ ทำอย่างไรที่จะควบคุมการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายนี้ให้อยู่กรอบมาตรฐาน การใช้แรงงานข้ามชาติเพื่อทำงานที่อันตรายมีการให้ความรู้เกี่ยวกับสารเคมีและสุขภาพในการทำงานกับการป้องกันเพียงใด เจ้าหน้าที่รัฐตรวจโรงงานอย่างทั่วถึงหรือไม่ และแรงงานได้ประโยชน์อะไรจากการลงทุนนี้
หากไทยจะเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ที่ทันสมัยมากขึ้น ควรมีการกลั่นกรองและตรวจโรงงานอย่างใกล้ชิด ส่งเสริมสภาพการทำงานที่ปลอดภัย บังคับให้นายทุนปรับปรุงกระบวนการผลิตที่ไม่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้างจนเกินมาตรฐานและมีมาตรการกำจัดสารตกค้างที่ไม่ส่งผลเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและคนในชุมชน
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ