รัฐบาลบังกลาเทศออกคำสั่งให้พม่าให้ถอนกองทัพออกจากพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นชายแดนร่วมของทั้งบังกลาเทศและพม่า หลังพบว่ามีทหารและตำรวจพม่าพร้อมอาวุธหนักจำนวนราว 200 คน รวมตัวกันห่างจากที่ชาวโรฮิงญามาปักหลักชั่วคราวไปไม่กี่กิโลเมตร โดยผู้ที่อาศัยในค่ายผู้ลี้ภัยอ้างว่าได้ยินคำสั่งให้ออกจากพื้นที่ผ่านลำโพงขยายเสียง
ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา ชาวโรฮิงญากว่า 5,300 คนได้อพยพเข้ามาในค่ายชั่วคราวนี้ แต่ชาวโรฮิงญาประมาณครึ่งหนึ่งได้อพยพเข้าไปในค่ายที่อยู่ในส่วนของประเทศบังกลาเทศแล้ว หลังจากทั้งสองประเทศได้พบปะเพื่อหารือเรื่องการส่งกลับประเทศในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ด้านหัวหน้าชุมชนโรฮิงญานาย Dil Mohammad ได้กล่าวหาว่าผู้รักษาดินแดนพม่ามักจะเข้ามาใกล้รั้วกำแพงลวดหนาม เพื่อยิงปืนที่ไม่มีกระสุน โยนอิฐและเขวี้ยงขวดสุราเข้ามาใส่ชาวโรฮิงญา ซึ่งส่งผลให้โรฮิงญาเกิดความกลัวมากยิ่งขึ้น
ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของบังกลาเทศเผยว่าได้เรียกฑูตประเทศพม่าเข้ามาพบเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา เพื่อหารือเรื่องนี้ เพราะถึงแม้ว่าพื้นที่บริเวณนี้จะอยู่ในเขตของประเทศพม่า แต่ก็อยู่นอกกำแพงเขตแดนและได้ชื่อว่าเป็น No Man’s Land
ด้านนาย Mujibur Rahman เจ้าหน้าที่รักษาดินแดนบังกลาเทศเผยว่า พวกเขาได้ส่งเอกสารคัดค้านต่อการเคลื่อนพลครั้งนี้และเรียกร้องให้มีการพบปะพูดคุยที่ชายแดนหรือ Flag Meeting เพราะขณะนี้กองทัพพม่าได้ถอนอาวุธหนัก เช่น ปืนกล ปืนครกออกจากพื้นที่แล้ว หลังจากได้ตะโกนคัดค้านในพื้นที่ ขณะเดียวกันนาย Zaw Htay โฆษกของรัฐบาลพม่าปฏิเสธที่จะออกความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ แต่ได้เผยว่ามีผู้ก่อการร้ายหลายคนที่มีส่วนเชื่อมโยงกับ Arakan Rohingya Salvation Army (ARSA) ที่โจมตีสถานีตำรวจและค่ายทหารกว่า 30 แห่งมีแหล่งพำนักอยู่แถวบริเวณชายแดนดังกล่าว
ที่มาข่าวและภาพประกอบ: Asian Correspondent, 2/3/2018
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ