คณะสืบสวนข้อเท็จจริงของสหประชาชาติ (United Nation; UN) เผยสถานการณ์ความคืบหน้าความรุนแรงในรัฐยะไข่ของประเทศพม่า ว่ากองทัพพม่ายังคงดำเนินการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมโรฮิงญาอย่างต่อเนื่อง หลังภารกิจที่กองทัพพม่าอ้างว่าเพื่อขจัดกลุ่มติดอาวุธในพื้นที่ส่งผลให้มีชาวโรฮิงญาหนีตายข้ามพรมแดนไปบังกลาเทศแล้วกว่า 7 แสนคน

นาย Marzuki Darusman ประธานคณะสืบสวนข้อเท็จจริงของยูเอ็นในพม่า (UN fact-finding mission on Myanmar) เผยข้อมูลดังกล่าวหลังยื่นรายงานความหนา 444 หน้า ให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council; UNSC) ว่าการฆ่าล้างที่กำลังเกิดขึ้นนั้นเกินกว่าการสังหารหมู่ โดยคณะตรวจพบการปิดล้อมเหยื่อจากโลกภายนอก การสกัดกั้นไม่ให้เกิดประชากรใหม่ และการนำตัวเหยื่อไปไว้ตามค่ายกักกัน ซึ่งเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างชัดเจน พร้อมกันนี้ได้ส่ง เรื่องดังกล่าวต่อไปยังศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ หรือไอซีซี ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์

รายงานดังกล่าวระบุว่า มีแหล่งชุมชนชาวโรฮิงญาถูกทำลายไปแล้วอย่างน้อย 390 แห่ง และมีชาวโรฮิงญาถูกสังหารอย่างน้อย 10,000 ราย พร้อมระบุอีกว่า สภาพการณ์ในพื้นที่รัฐยะไข่ขณะนี้ไม่เหมาะสมที่จะให้ผู้อพยพชาวโรฮิงญาที่ลี้ภัยอยู่ในค่ายพักพิงชั่วคราวตามแนวพรมแดนของบังกลาเทศติดกับพม่าเดินทางกลับ เพราะจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการสูญเสีย นอกจากนี้นาย Marzuki Darusman ยังวิจารณ์ถึงการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของทางการพม่าด้วยว่า พิสูจน์จากผลลัพธ์แล้วว่าเป็นความล้มเหลว หลังทางการพม่าระบุว่าผลการสอบสวนไม่พบว่ามีเหตุอย่างที่ยูเอ็น ชาติตะวันตก และองค์การด้านสิทธิมนุษยชนกล่าวหา สร้างความตกตะลึงให้กับประชาคมโลก

ที่มาข่าวและภาพประกอบ: The Guardian, 25/10/2018