ภาคการท่องเที่ยวพม่ายอมรับว่าได้รับผลกระทบรุนเเรงจากวิกฤติในรัฐยะไข่ หลังจากชาวมุสลิมโรฮิงญา 700,000 คน เดินทางข้ามชายแดนไปยังบังกลาเทศ เพื่อลี้ภัยการปราบปรามโดยกองทัพพม่า ส่งผลให้นอกจากที่กองทัพพม่าจะถูกกล่าวหาว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญ่แล้ว ยังส่งผลห้บรรดานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหลีกเลี่ยงไม่ไปท่องเที่ยวเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย ล่าสุดรัฐบาลพม่าได้จัดการประชุมกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อถกกันถึงมาตรการที่ควรนำไปใช้เพื่อปรับปรุงสถานการณ์

ในการประชุมดังกล่าว นางอองซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ เผยว่าประเทศต้องเน้นที่มาตรการต่างๆ ที่รวมไปถึงการคมนาคมทางน้ำ การสร้างที่พักอาศัยที่สะอาด เเละการพัฒนาโครงการท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ในชุมชนเพิ่มมากขึ้น นักท่องเที่ยวจะได้มีโอกาสชมความงามของทิวทัศน์เเละได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ทำให้ถนนหนทางทั้งทางบกแและทางน้ำ ตลอดจนรถไฟได้รับการปรับปรุง นอกเหนือจากการขนส่งทางอากาศ

ขณะที่นาย Aung Kyaw Swar อดีตผู้อำนวยการมูลนิธิ Inle Heritage Foundation เห็นว่าจำเป็นต้องมีแผนงานแบบองค์รวมที่ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในการปรับปรุงกาคการท่องเที่ยวของพม่า ซึ่งต้องพัฒนาทั้งระบบสาธารณูปโภค ผลิตภัณฑ์ ช่องทางการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ การตลาด และการขาย ซึ่งทั้งหมดต้องเชื่อมโยงกัน แม้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไปเยือนพม่ามักนิยมไปเที่ยวในเมืองใหญ่ เช่น ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ พุกาม เเละทะเลสาบอินเล เเต่ปัจจุบันเริ่มมีจุดท่องเที่ยวใหม่ๆ ผุดขึ้นมาในพื้นที่ที่คนไม่รู้จัก ซึ่งเป็นผลดีทางเศรษฐกิจแก่ประชาชนในพื้นที่

ด้านนาย Bertie Lawson ผู้อำนวยการ บริษัท Sampan Travel ในย่างกุ้ง เผยว่าข้อเเนะนำของนางอองซาน ซู จี เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เเต่ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงอีกหลายอย่าง เช่น การแก้ปัญหาสายการบินในประเทศที่คิดค่าบริการแก่ชาวต่างชาติสูงขึ้นเท่าตัวเมื่อเทียบกับลูกค้าชาวพม่า เเละรถบัสที่ที่นำพานักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มักเดินทางไปถึงที่หมายในตอนค่ำ เเทนที่จะเป็นช่วงกลางวันซึ่งสะดวกกว่าสำหรับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้  Bertie Lawson ยังหวังว่า แม้การปรับปรุงภาพลักษณ์ของพม่าในสายตาชาวโลกอาจต้องใช้เวลานาน แต่การท่องเที่ยวของพม่ายังจะเติบโตอยู่ เพียงแต่จะไม่ขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วอย่างที่หลายคนเคยคาดเอาไว้ก่อนหน้าวิกฤติรัฐยะไข่

ที่มาข่าวและภาพประกอบ: VOA, 26/8/2018