โลกผ่านอะไรมาบ้าง? ตั้งแต่หนังสือพิมพ์ฉบับแรกจนถึงยุคที่ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งของประชากรโลก ชวนอ่านรายงานพิเศษซีรีส์ ‘Media Disruption’ ตอนแรก ว่าด้วยไทม์ไลน์ ตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีสื่อสารและวงการสื่อโลก และพฤติกรรมผู้บริโภคสื่อที่เปลี่ยนไป 'ใช้เวลากับสื่อเก่าน้อยลง' - 'ให้เวลากับสื่อใหม่เพิ่มขึ้น'
ในสหรัฐอเมริกา มีการเผยแพร่สัญญาณ 'โทรทัศน์ขาวดำ' สู่สาธารณชนครั้งแรกในปี ค.ศ. 1928 ต่อมาในปี ค.ศ. 1951 เทคโนโลยี 'โทรทัศน์สี' ได้เริ่มปรากฏขึ้นในสหรัฐฯ ท้ายที่สุดโทรทัศน์สีก็ได้เข้ามาแทนที่โทรทัศน์ขาวดำเกือบทุกหลังคาเรือนของคนอเมริกันในช่วงทศวรรษที่ 1980s ความเปลี่ยนแปลงนี้ต้องใช้เวลาระยะเวลาเกือบ 30 ปี [1] [2] และตั้งแต่มีการวางจำหน่าย ‘โทรศัพท์เคลื่อนที่’ ครั้งแรกในยุคทศวรรษที่ 1970s จนมาถึงปี ค.ศ. 1996 เราต้องใช้เวลากว่า 20 ปี ที่ยอดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่จะแตะที่ 60 ล้านเครื่องทั่วโลก แต่ในรอบ 12 ปี (ระหว่างปี ค.ศ. 2007-2018) ยอดจำหน่าย ‘สมาร์ทโฟน’ อันเป็นวิวัฒนาการล่าสุดของโทรศัพท์เคลื่อนที่ กลับพุ่งจากหลักร้อยล้านเครื่องเป็นพันล้านเครื่องได้อย่างง่ายดาย [3] [4] ในการเก็บข้อมูลผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกครั้งแรกในปี ค.ศ. 1995 พบว่า ทั่วโลกมีผู้เข้าถึงอินเตอร์เน็ต 16 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 0.4% ของประชากรโลกทั้งหมดในขณะนั้น ต่อมาอีก 24 ปี ในต้นปี ค.ศ.2019 ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 4,422 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 57.3% ประชากรโลก [5] – เหล่านี้คือตัวอย่างความเปลี่ยนแปลงอัน 'ฉับพลัน' ของเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคดิจิทัลในปัจจุบัน
ความเปลี่ยนแปลงอันฉับพลัน
ในปี ค.ศ. 1991 โลกมีเว็บไซต์เพียง 1 เว็บ (คือ http://info.cern.ch/hypertext/WWW/TheProject.html) จากนั้นก็ใช้ระยะเวลาเพียง 27 ปี เพิ่มเว็บไซต์ได้ถึง 1,630,322,579 เว็บ ในปี ค.ศ. 2018
ตลอดช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา (ค.ศ. 2000-2019) เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีการสื่อสาร ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า มีความรวดเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงต่างๆ ในประวัติศาสตร์โลก โดยเฉพาะแรงผลักจาก ‘อินเตอร์เน็ต’ รวมทั้งการเกิดขึ้นของเครือข่ายทางสังคมในอินเตอร์เน็ตหรือ ‘โซเชียลมีเดีย’ (social media) ที่ได้ส่งผลอย่างมากต่ออุตสาหกรรมสื่อสารมวลชนของโลก ไม่ว่าจะเป็นการหันไปใช้ช่องทางออนไลน์ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นผ่านคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน เผยแพร่เนื้อหาสื่อต่างๆ แทนช่องทางโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์แบบดั้งเดิม ได้สร้างผลกระทบมากมาย เช่น การลดจำนวนการพิมพ์สิ่งพิมพ์ต่างๆ การลดการรายงานข่าวจากท้องถิ่นหรือการรายงานจากต่างประเทศ การปิดตัว การลดขนาดองค์กร การควบรวมกิจการสื่อสารมวลชน รวมถึงการลดตำแหน่งงานประจำ การจ้างงานแบบฟรีแลนซ์ในอุตสาหกรรมสื่อมากขึ้น เป็นต้น (ปรากฏการณ์เหล่านี้จะขอนำเสนอในตอนต่อๆ ไป)
จากการประเมินในปี ค.ศ. 1995 พบว่า มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ต 16 ล้านคนทั่วโลก คิดเป็นสัดส่วน 0.4% ต่อประชากรทั้งหมดของโลก อีก 10 ปี ต่อมาในปี ค.ศ. 2005 เพิ่มเป็น 1,018 ล้านคน คิดเป็น 15.7% ของประชากรโลก แต่ตัวเลขการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 เป็นต้นมายิ่งก้าวกระโดดกว่านี้ โดยในปี ค.ศ. 2010 มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลก 1,971 ล้านคน คิดเป็น 28.8% ของประชากรโลก ในปี ค.ศ.2017 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตมีสัดส่วนเกินครึ่งต่อประชากรทั้งหมดของโลก โดยเมื่อสิ้นปี ค.ศ.2017 มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลก 4,156 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 54.4% ของประชากรโลก ในปี ค.ศ. 2018 เพิ่มขึ้นเป็น 4,313 ล้านคน และในเดือน มิ.ย. 2019 มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ต 4,422 ล้านคน คิดเป็น 57.3 % ของประชากรทั้งหมดของโลก ส่วนข้อมูลจาก Global Digital Report 2019 ประเมินว่าในเดือน ม.ค. 2019 นี้จะมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกถึง 4,388 ล้านคน หรือคิดเป็น 57% ของประชากรโลกเลยทีเดียว [6] [7] สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนเว็บไซต์และผู้ใช้เว็บไซต์ประเภทโซเชียลมีเดีย พบว่าในปี ค.ศ. 1991 โลกมีเว็บไซต์เพียง 1 เว็บ จากนั้นก็ใช้ระยะเวลา 27 ปี เพิ่มเว็บไซต์ขึ้นถึง 1,630,322,579 เว็บ ในปี ค.ศ. 2018 [8] ส่วนโซเชียลมีเดียที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 2000’s มีการประเมินว่าในเดือน ม.ค. 2019 ทั่วโลกมีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียที่ยัง active อยู่ถึง 3,484 ล้านบัญชี หรือคิดเป็นสัดส่วน 45% ของประชากรโลก โดยโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยม 5 อันดับแรก ที่ผู้ใช้ยัง active อยู่ ได้แก่ อันดับ 1.Facebook 2,234 ล้านบัญชี 2.YouTube 1,900 ล้านบัญชี 3.WhatsApp 1,500 ล้านบัญชี 4.Facebook Messenger 1,300 ล้านบัญชี และ 5.WeChat 1,058 ล้านบัญชี (ข้อมูล ณ ต.ค. 2018) [9]
นอกจากนี้ยังพบว่า จำนวนของ ‘สมาร์ทโฟน’ ทั่วโลกเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 หลังการออกวางจำหน่ายของ iPhone ก็ได้กระตุ้นให้อุปกรณ์ในกลุ่มสมาร์ทโฟนเป็นที่นิยมของคนทั่วโลก โดยในปี ค.ศ. 2007 ยอดขายของสมาร์ทโฟนทั่วโลกอยู่ที่ 122.32 ล้านเครื่อง ปี ค.ศ. 2010 เพิ่มเป็น 296.65 ล้านเครื่อง ต่อมาในปี ค.ศ. 2014 ยอดขายของสมาร์ทโฟนทั่วโลกทะลุหลักพันล้านเครื่องเป็นครั้งแรก ที่ 1,244.74 ล้านเครื่อง และในปี ค.ศ. 2018 ยอดขายของสมาร์ทโฟนทั่วโลกก็ได้เพิ่มเป็น 1,555.27 ล้านเครื่อง [10] นอกจากนี้ ยังมีการประเมินว่าในเดือน ม.ค. 2019 มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกประเภท 5,112 ล้านเครื่องทั่วโลก ในจำนวนนี้มีผู้ใช้ 3,253 ล้านคน ใช้สมาร์ทโฟนร่วมกับโซเชียลมีเดีย [11]
Time Line ตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีสื่อสารและวงการสื่อโลก ที่มาภาพประกอบ: Radio Free Europe/Radio Liberty
เรียบเรียงจาก: nimcj.org, j387mediahistory, statista.com, wikipedia.org, livescience.com, tigermobiles.com, mobilephonehistory.co.uk, silicon.co.uk, 11points.com, internetworldstats.com, weforum.org, journalism.co.uk, businessinsider.com, internetlivestats.com, brandwatch.com, wptdatabase.org, globalwebindex.net, Newspaper Association of America, *Update ข้อมูล 31 July 2019 |
พฤติกรรมผู้บริโภคสื่อเปลี่ยนไป ใช้เวลากับสื่อเก่าน้อยลง ให้เวลากับสื่อใหม่เพิ่มขึ้น
การสำรวจในหลายประเทศ พบแนวโน้มไปในทางเดียวกันว่า ผู้บริโภคสื่อใช้เวลากับสื่อเก่าน้อยลง และให้เวลากับสื่อใหม่เพิ่มขึ้น ที่มาภาพประกอบ: Chris Blakeley (CC BY-NC-ND 2.0)
แรงผลักจาก ‘อินเตอร์เน็ต’ และ ‘โซเชียลมีเดีย’ ได้สร้างทางเลือกในการเข้าถึงข่าวสารให้กับผู้บริโภคอย่างเปิดกว้างมากขึ้น ความสะดวก สบายและความรวดเร็วในการบริโภคข่าวสารผ่านโลกออนไลน์ ทำให้สื่อเก่าเสื่อมความนิยมลงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทั้งนี้ มีสถิติบ่งชี้ว่า ผู้คนทั่วโลกบริโภคสื่อเก่าอย่าง สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ลดลงอย่างเห็นได้ชัดในระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้
จากผลสำรวจของ GlobalWebIndex ถึงพฤติกรรมการใช้สื่อ 'ออนไลน์' เปรียบเทียบกับ 'ออฟไลน์' ของผู้บริโภคสื่อ 350,000 คน จาก 34 ประเทศทั่วโลก (ได้แก่ประเทศ อาร์เจนตินา, ออสเตรเลีย, เบลเยียม, บราซิล, แคนาดา, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ฮ่องกง, อินเดีย, อินโดนีเซีย, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, เม็กซิโก, เนเธอร์แลนด์, ฟิลิปปินส์, โปแลนด์, รัสเซีย, ซาอุดิอาระเบีย, สิงคโปร์, แอฟริกาใต้, เกาหลีใต้, สเปน, สวีเดน, ไต้หวัน, ไทย, ตุรกี, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหราชอาณาจักร, สหรัฐฯ และเวียดนาม) ระหว่างปี ค.ศ. 2012 และ 2016 พบว่า ในด้านการบริโภคสื่อออนไลน์นั้นมีการใช้เวลาเพิ่มขึ้นในทุกหมวด ทั้งการรับชมทีวีออนไลน์และสตรีมมิ่งจาก 43 นาทีต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็น 56 นาทีต่อวัน, การฟังเพลงและวิทยุออนไลน์จาก 35 นาทีต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็น 39 นาทีต่อวัน, การอ่านสิ่งพิมพ์ออนไลน์จาก 41 นาทีต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็น 50 นาทีต่อวัน และการใช้โซเชียลมีเดียจาก 1:30 ชั่วโมงต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็น 2:40 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนการบริโภคสื่อออฟไลน์กลับตรงกันข้าม ทั้งการรับชมโทรทัศน์ลดลงจาก 2:15 ชั่วโมงต่อวัน เหลือ 2:05 ชั่วโมงต่อวัน การฟังวิทยุผ่านเครือข่ายปกติลดลงจาก 57 นาทีต่อวัน เหลือ 52 นาทีต่อวัน, ส่วนการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลงแต่อย่างใดที่ 39 นาทีต่อวัน ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นสำหรับกิจกรรมบริโภคสื่อออฟไลน์ คือการเล่นเกมเครื่องเล่นคอนโซลที่เพิ่มจาก 43 นาทีต่อวัน เป็น 52 นาทีต่อวัน เท่านั้น [12]
ทั้งนี้ จากข้อมูลระยะเวลาการใช้สื่อ 'ออนไลน์' เปรียบเทียบกับ 'ออฟไลน์' ของผู้บริโภคสื่อ 350,000 คน จาก 34 ประเทศระหว่างปี 2012 และ 2016 ของ GlobalWebIndex พบว่า จากทั้ง 34 ประเทศที่ทำการสำรวจ มีเพียง 5 ประเทศเท่านั้นที่ยังใช้เวลาการรับข่าวสารจากสื่อออฟไลน์มากกว่าสื่อออนไลน์ [13]
จากรายงานของ ZenithOptimedia พบว่าระยะเวลาการอ่านหนังสือพิมพ์ของผู้คนทั่วโลกลดลงมากกว่า 25% ระหว่างปี ค.ศ. 2010-2014 โดยในปี ค.ศ. 2010 ผู้คนทั่วโลกใช้เวลาเฉลี่ยในการอ่านหนังสือพิมพ์ 21.9 นาทีต่อวันต่อคน ถัดมาในปี ค.ศ. 2014 ลดลงเหลือ 16.3 นาทีต่อวันต่อคน ทั้งนี้มีการประเมินว่าในปี ค.ศ. 2017 ค่าเฉลี่ยทั่วโลกจะลดลงมาอยู่ที่ 14.1 นาทีต่อวันต่อคน เลยทีเดียว [14] ส่วนการสำรวจเทรนด์การบริโภคข่าวสาร ปี ค.ศ.1991-2012 โดย Pew Research Center ที่ได้ทำการสำรวจความเห็นคนอเมริกัน 3,2012 คน (เผยแพร่ในเดือน ต.ค. 2012) พบว่าสัดส่วนของผู้บริโภคสื่อเก่าลดลงอย่างเห็นได้ชัด เช่น โดยเมื่อถามว่า “เมื่อวานคุณได้อ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และหนังสือไหม ?” ในปี ค.ศ. 2002 ผู้ตอบว่าได้อ่านหนังสือพิมพ์มี 41% นิตยสาร 23% และหนังสือ 34% ต่อมาในปี ค.ศ. 2012 ผู้ตอบว่าได้อ่านมีสัดส่วนลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยตอบว่าได้อ่านหนังสือพิมพ์ 23% นิตยสาร 17% และหนังสือ 30% [15]
จำนวนผู้อ่านหนังสือพิมพ์ในสหรัฐฯ ที่ดูเหมือนจะลดลงนั้น สอดคล้องกับยอดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ด้วยเช่นกัน โดยยอดจำหน่ายหนังสือพิมพ์รายวัน (ที่ไม่รวมฉบับวันอาทิตย์) ในสหรัฐฯ เคยไปแตะที่ระดับ 60 ล้านฉบับต่อวันตั้งแต่ยุคทศวรรษที่ 1960's จนถึงต้นยุคทศวรรษที่ 1990's ก่อนที่จะค่อยๆ ลดจำนวนลงมา โดยในปี ค.ศ. 1990 เคยมียอดจำหน่ายสูงถึง 62 ล้านฉบับ แต่กลับลดลงมาเหลือเพียง 40 ล้านฉบับในปี ค.ศ. 2014 สวนทางกับการอ่านข่าวออนไลน์ทางเว็บไซต์ที่พุ่งสูงขึ้นทุกปี โดยในปี ค.ศ. 2014 มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ 50 อันดับแรกของสหรัฐฯ รวมกันเดือนละ 8.23 ล้านคน เพิ่มเป็น 11.73 ล้านคน ต่อเดือนในปี ค.ศ. 2016 [16]
ในส่วนสถานการณ์การรับชมสื่อโทรทัศน์ จากการประเมินของ ZenithOptimedia พบว่าผู้คนทั่วโลกใช้เวลารับชมโทรทัศน์ลดลงเรื่อยๆ จากเฉลี่ยแล้ว 179 นาทีต่อวันต่อคนในปี ค.ศ. 2011 ลดลงเหลือ 170 นาทีต่อวันต่อคนในปี ค.ศ. 2015 และคาดการณ์ว่าจะลดลงเหลือ 165 นาทีต่อวันต่อคนในปี ค.ศ. 2021 [17] สอดคล้องกับการสำรวจเทรนด์การบริโภคข่าวสาร ปี ค.ศ.1991-2012 ของคนอเมริกัน 3,2012 คน โดย Pew Research Center ที่พบว่าในปี ค.ศ. 2006 มีผู้ตอบว่าได้รับชมโทรทัศน์ในวันที่ผ่านมา 57% ต่อมาในปี ค.ศ. 2012 มีผู้ตอบว่าได้รับชมลดลงเหลือ 55% [18]
ด้านการรับฟังวิทยุ (เครือข่ายปกติที่ไม่ใช่ออนไลน์) จากการสำรวจระหว่างปี ค.ศ. 2012 และ 2016 โดย GlobalWebIndex ที่ทำการสำรวจผู้บริโภคสื่อ 350,000 คน จาก 34 ประเทศทั่วโลก พบว่าคนใช้เวลาฟังวิทยุลดลงจาก 57 นาทีต่อวันต่อคนในปี ค.ศ. 2012 เหลือเพียง 52 นาทีต่อวันต่อคนในปี ค.ศ. 2016 [19] ส่วนผลสำรวจเทรนด์การบริโภคข่าวสาร ปี ค.ศ.1991-2012 ของคนอเมริกัน 3,2012 คน โดย Pew Research Center พบว่าในปี ค.ศ.1991 มีผู้ระบุว่ารับฟังวิทยุบ่อยครั้งถึง 54% แต่ตัวเลขนี้กลับลดเหลือเพียง 33% ในปี ค.ศ. 2012 [20]
ในปี ค.ศ. 2018 Pew Research Center ได้เผยแพร่ผลสำรวจการบริโภคสื่อเก่าและสื่อใหม่เปรียบเทียบปี ค.ศ. 2016 ค.ศ. 2017 และ ค.ศ. 2018 (เผยแพร่เมื่อเดือน ส.ค. 2018) พบว่าเป็นครั้งแรกเท่าที่ Pew Research Center เคยมีการเก็บข้อมูลมา ที่ชาวอเมริกันกลุ่มอายุ 18-49 ปี เลือกบริโภคข่าวออนไลน์จากเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียมากกว่าสื่อเก่า แม้ว่าสหรัฐฯ จะเป็นมีวัฒนธรรมการบริโภคสื่อเก่าอย่าง ‘โทรทัศน์, วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์’ ค่อนข้างเข้มแข็ง (ที่สะท้อนได้จากผลสำรวจนี้ที่คนอเมริกันอายุ 50-65 ปีขึ้นไป ยังคงติดตามข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ในสัดส่วนสูงอยู่) ผลสำรวจของ Pew Research Center ที่สำรวจระหว่าง 30 ก.ค.-12 ส.ค. 2018 ระบุว่าคนอเมริกันอายุระหว่าง 18-29 ปี ติดตามข่าวสารจากโซเชียลมีเดียบ่อยครั้งที่สุด 36% ตามมาด้วยเว็บไซต์ข่าว 27% ส่วนคนอเมริกันอายุระหว่าง 30-49 ปี ติดตามข่าวสารจากเว็บไซต์ข่าวบ่อยครั้งที่สุด 42%
ผลสำรวจนี้ยังทำการเปรียบเทียบสัดส่วนการติดตามข่าวสารในช่องทางต่างๆ ระหว่างปี ค.ศ. 2016 และ 2018 ของคนอเมริกันทุกกลุ่มอายุ สำหรับการติดตามข่าวทางหนังสือพิมพ์พบว่าในปี ค.ศ. 2016 มีผู้ตอบว่าติดตามบ่อยครั้งที่ 20% ลดลงมาเหลือเพียง 16% ในปี ค.ศ. 2018 การติดตามข่าวจากโทรทัศน์จาก 57% ลดลงเหลือ 49% ในปี ค.ศ. 2018 สวนทางกับการติดตามข่าวทางออนไลน์ ที่ผู้ติดตามข่าวทางโซเชียลมีเดียบ่อยครั้งเพิ่มขึ้นจาก 18% ในปี ค.ศ. 2016 เป็น 20% ในปี ค.ศ. 2018 และติดตามจากเว็บไซต์ข่าว 28% ในปี ค.ศ. 2016 เพิ่มขึ้นเป็น 33% ในปี ค.ศ. 2018 [21]
ข้อมูลอ้างอิง
[1] TIMELINE: Major Events in the History of Mass Communications (J387: Media History, เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 31 July 2019)
[2] 1st American TV station begins broadcasting, July 2, 1928 (Suzanne Deffree, EDN, 02 July 2019)
[3] Evolution of the Mobile Phone (TigerMobiles.com, เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 31 July 2019)
[4] Number of smartphones sold to end users worldwide from 2007 to 2018 (in million units) (Arne Holst, statista, 26 Feb 2019)
[5] INTERNET GROWTH STATISTICS (internetworldstats.com, เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 31 July 2019)
[6] เพิ่งอ้าง
[7] Global social media research summary 2019 (Dave Chaffey, Smart Insights, 12 Feb 2019)
[8] Total number of Websites (InternetLiveStats.com, เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 31 July 2019)
[9] Global social media research summary 2019 (Dave Chaffey, Smart Insights, 12 Feb 2019)
[10] Number of smartphones sold to end users worldwide from 2007 to 2018 (in million units) (Arne Holst, statista, 26 Feb 2019)
[11] Global social media research summary 2019 (Dave Chaffey, Smart Insights, 12 Feb 2019)
[12] INSIGHT REPORT | Q1 2017: Digital vs. Traditional Media Consumption (GlobalWebIndex, เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 31 July 2019)
[13] เพิ่งอ้าง
[14] Time spent reading newspapers worldwide falls over 25% in four years (Mark Sweney, theguardian.com, 1 June 2015)
[15] In Changing News Landscape, Even Television is Vulnerable (Pew Research Center, 27 September 2012)
[16] Newspapers Fact Sheet (Pew Research Center, 9 JULY 2019)
[17] Daily time spent watching TV worldwide from 2011 to 2021 (in minutes) (Amy Watson, statista, 26 June 2019)
[18] In Changing News Landscape, Even Television is Vulnerable (Pew Research Center, 27 September 2012)
[19] INSIGHT REPORT | Q1 2017: Digital vs. Traditional Media Consumption (GlobalWebIndex, เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 31 July 2019)
[20] In Changing News Landscape, Even Television is Vulnerable (Pew Research Center, 27 September 2012)
[21] Social media outpaces print newspapers in the U.S. as a news source (Elisa Shearer, Pew Research Center, 10 December 2018)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
จับตา: จำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกระหว่างปี 1995-2019
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ