‘งาน’ กับ ‘สิ่งแวดล้อม’

เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์: 5 มี.ค. 2562 | อ่านแล้ว 2773 ครั้ง


โลกในปัจจุบันและอนาคตของพรรคการเมืองควรถือกำเนิดขึ้นมาจากสิ่งดี ๆ สองสิ่ง  ดั่งลูกฝาแฝดที่คลานตามกันมา  ลูกคนหนึ่งคือ ‘งาน’  ส่วนลูกอีกคนหนึ่งคือ ‘สิ่งแวดล้อม’ 

จากภาวะวิกฤตโลกร้อนที่สิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ทั้งพืช สัตว์ จุลินทรีย์ สูญพันธุ์แบบก้าวกระโดด  โลกจึงควรตั้งคำถามใหญ่เพื่อก้าวไปสู่ทิศทางใหม่ที่ดีกว่าว่า “การลดโลกร้อนกับการจ้างงานจะมีการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมได้อย่างไร ?” 

มีการประเมินกันในหลายองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนในขอบข่ายทั่วโลกว่าการพัฒนาที่พยายามปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานจนทำให้แรงงานจำนวนมากว่างงานหรือมีรายได้น้อยลงอันเนื่องมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้คาร์บอนต่ำที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นให้เข้ามาแทนที่อุตสาหกรรมจำนวนมากที่ใช้เทคโนโลยีคาร์บอนเข้มข้นเช่นพวกเชื้อเพลิงฟอสซิลทัั้งหลายซึ่ง “เป็นแหล่งจ้างงานของแรงงานจำนวนมากถึงร้อยละ 38 ของแรงงานทั่วโลก”[1] อยู่ในขณะนี้

การพยายามก้าวข้ามเพื่อนำไปสู่กระบวนทัศน์ใหม่ของโลกไม่ใช่เรื่องง่าย  ดังที่เห็นคนเรือนแสนจาก ‘ขบวนการเสื้อกั๊กเหลือง’ ในหลายเมืองของประเทศฝรั่งเศสที่ออกมาชุมนุมประท้วงจนเกิดความโกลาหลแผ่ขยายตัวไปทั่วด้วยเหตุที่รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศขึ้นภาษีน้ำมันอันมีผลทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นเพื่อต้องการลดโลกร้อนด้วยการมุ่งลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและระดมทุนสนับสนุนพลังงานสะอาด  แต่กลับส่งผลกระทบต่อประชาชนฝรั่งเศสที่เป็นชนชั้นแรงงานจำนวนมากที่มีรายได้น้อยและอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลเมืองซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพายานพาหนะส่วนตัวแทนระบบขนส่งสาธารณะที่เข้าไปไม่ถึงในการเดินทางไปทำงานและประกอบกิจกรรมอื่น ๆ ในชีวิตประจำวัน

เหตุการณ์ชุมนุมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ‘งาน’ กับ ‘สิ่งแวดล้อม’ มักปะทะขัดแย้งกันอยู่ตลอดมาจนอาจลุกลามกลายเป็นปัญหาทางชนชั้นได้เสมอ  แต่ความขัดแย้งดังกล่าวก็มีหลายรูปแบบ  ดังเช่นเหตุการณ์หนึ่งในประเทศไทยก็มีรูปแบบแตกต่างออกไป  สหภาพแรงงานหนึ่งร่วมมือกับรัฐวิสาหกิจเจ้าของโครงการเกณฑ์ชาวบ้านที่สนับสนุนโครงการมาทุบตีสลายการชุมนุมของชาวบ้านปากมูลที่รวมตัวชุมนุมคัดค้านการสร้างเขื่อนปากมูลอยู่ที่หัวงานเมื่อปี 2536 เป็นต้น  ความขัดแย้งเช่นนี้อีกหลาย ๆ เหตุการณ์ในสังคมไทยไม่ได้เป็นปัญหาชนชั้นระหว่างคนรวยกับคนจน  หรือชนชั้นนำกับชนชั้นกลางและชนชั้นล่างเหมือนในกรณีขบวนการเสื้อกั๊กเหลือง  แต่เป็นเรื่องของชนชั้นล่างถูกชนชั้นผู้ปกครองมอมเมา ยุยง ปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังจนสามารถใช้กำลังประทุษร้ายชาวบ้านด้วยกันเองได้

ทั้งเหตุการณ์ในฝรั่งเศสของขบวนการเสื้อกั๊กเหลืิองและเหตุการณ์การคัดค้านเขื่อนปากมูลในไทยถึงแม้จะมีรูปแบบแตกต่างกัน  และไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางชนชั้นหรือไม่ก็ตาม  แต่มันนำมาสู่คำถามว่าทำไม ‘งาน’ กับ ‘สิ่งแวดล้อม’ ถึงอยู่ร่วมกันไม่ได้ ?  หรือทำไม ‘งาน’ กับ ‘สิ่งแวดล้อม’ มักเป็นปฎิปักษ์ต่อกันอยู่เสมอ ?

ในไทยเองก็ยังไม่เห็นว่าจะมีสหภาพแรงงาน  ขบวนการแรงงาน  และพรรคการเมืองใดมีจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนงานและชุมชนรอบโรงงานหรือโครงการพัฒนาขนาดใหญ่โดยออกมาตั้งคำถามกับรัฐบาลในเรื่องปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ที่ถูกปล่อยออกจากปลายปล่องของโรงงานที่ก่อผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอยู่ในขณะนี้  ไม่มีคำถามใดจากขบวนการแรงงานและพรรคการเมืองถึงรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. ว่าออกคำสั่งยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองเพื่อเปิดโอกาสให้โรงงานอุตสาหกรรมหลายประเภทเช่นโรงไฟฟ้าขยะสามารถตั้งอยู่ในชุมชนและพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำ ดินและอากาศเหมาะสมต่อเกษตรกรรมเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารได้อย่างไร  รวมถึงคำถามต่อกฎหมายโรงงานฉบับใหม่ที่เพิ่งผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยให้ผู้ประกอบการไม่ต้องขออนุญาตต่ออายุใบประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) จากเดิมที่ต้องต่ออายุใหม่ทุก 5 ปี,  แก้ไขนิยาม ‘โรงงาน’ เพื่อทำให้โรงงานขนาดต่ำกว่า 50 แรงม้า หรือที่มีคนงานน้อยกว่า 50 คน ไม่ถือเป็นโรงงานตามกฎหมายแรงงานอีกต่อไป  ส่งผลให้เกิดการปล่อยผีโรงงานไม่น้อยกว่า 70,000 แห่งทั่วประเทศหลุดจากการเป็นโรงงานที่ไม่ต้องได้รับการควบคุม ดูแล กวดขัน เฝ้าระวัง ติดตามตามกฎหมายโรงงานอีกต่อไป,  เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถก่อสร้างอาคารและส่วนประกอบของโรงงานที่ยังไม่ได้ติดตั้งเครื่องจักรและนำคนงานมาทำงานล่วงหน้าไปก่อน  แล้วจึงค่อยขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4) และจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EIA/EHIA) แล้วแต่กรณีให้ได้รับอนุญาตหรือผ่านความเห็นชอบภายหลังได้  ฯลฯ

การเลือกตั้งที่จะถึงนี้เปิดโอกาสให้ประชาธิิปไตยกลับคืนมาสู่บ้านเมืองหลังจากห่างหายไปเกือบห้าปี  แม้ว่าพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยจะมีความแตกต่างจากพรรคการเมืองฝ่ายสืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร คสช. ตรงที่ช่องทางของสิทธิ เสรีภาพและพลังประชาชนในการชุมนุม  เคลื่อนไหว  กดดัน  ต่อรอง  เรียกร้อง  ร้องเรียนเพื่อการต่อสู้กับอำนาจรัฐและทุนเปิดกว้างมากกว่า  แต่โดยเนื้อแท้แล้วพรรคการเมืองทั้งสองฝ่ายมีสิ่งเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง  นั่นคือยึดถือ ‘ตัวแบบการพัฒนา’ เดียวกัน  ที่มุ่งเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจภายใต้การชี้วัดแบบ GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเป็นหลัก  ซึ่งตัวชี้วัดนี้ละเลยปัญหาความเหลื่อมล้ำและสิ่งแวดล้อม  และด้วยการยึดถือตัวแบบการพัฒนาเดียวกันของพรรคการเมืองทั้งสองฝ่ายนี่เองจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วสลับข้างอยู่เสมอในประวัติศาสตร์การเมืองไทย  จากที่เคยเป็นประชาธิปไตยก็กลายเป็นเผด็จการ  จากที่เคยเป็นเผด็จการก็กลายเป็นประชาธิปไตยก็มี  แต่ส่วนใหญ่แล้วทิศทางเปลี่ยนขั้วสลับข้างมักพบเห็นฝ่ายประชาธิปไตยกลายเป็นฝ่ายเผด็จการเสียมากกว่า  เนื่องจากการเข้าไปอยู่ในอำนาจรัฐไม่ว่าพรรคการเมืองฝ่ายใดก็ตามจำเป็นต้องใจร้ายมากขึ้นกับประชาชน  ถ้าใจดีเกินไปโดยปล่อยให้ประชาชนสร้างพลังต่อรองกับรัฐมากเกินไปก็จะทำให้การเรียกร้องของภาคประชาชนเป็นอุปสรรคต่อรัฐที่จะผลักดันนโยบาย  โครงการพัฒนาและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลายที่หนุนเสริม GDP 

แต่ตัวแบบการพัฒนาที่เหมือนกันของพรรคการเมืองทั้งสองฝ่ายที่ยึดมั่น GDP ก็แตกย่อยออกเป็นสองแนวทางตรงที่ยามใดที่บ้านเมืองปกครองโดยระบอบเผด็จการ, ยามนั้นตัวแบบการพัฒนาจะมีพฤติกรรมก้าวร้าวในลักษณะ ‘มุ่งเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เสรีภาพของประชาชนถูกกดปราบ’  ซึ่งต่างจากการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่ถึงแม้จะ ‘มุ่งเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ประชาชนยังมีเสรีภาพการชุมนุมและแสดงความคิดเห็น’ ได้ดีกว่า  ตรงจุดที่พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยสร้างความแตกต่างนี้ถือเป็นเรื่องดีต่อประชาชนอย่างยิ่ง  แต่ก็ยังไม่พอ  เพราะตัวแบบการพัฒนาทั้งสองแนวทางยังยึดมั่น GDP มากเกินไป  นอกจากจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนที่นับวันจะมีช่องว่างถ่างกว้างออกไปมากยิ่งขึ้นแล้ว  การตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมยิ่งถูกมองข้ามมากขึ้นเช่นเดียวกัน  การเลือกตั้งครั้งนี้จึงควรมีพรรคการเมืองที่เสนอแนวทางที่สามเป็นตัวแบบการพัฒนาใหม่ขึ้นมา  นั่นคือ  คำนึงถึง ‘การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  ระบบนิเวศและธรรมชาติ  และประชาชนมีเสรีภาพการชุมนุมและแสดงความคิดเห็น’

จะต้องมีพรรคการเมืองที่กล้าหาญสร้างความแตกต่างทางนโยบายเพื่อสร้างดุลยภาพระหว่าง ‘งาน’ กับ ‘สิ่งแวดล้อม’ ให้เด่นชัดยิ่งขึ้นกว่านี้โดยไม่กดปราบเสรีภาพการชุมนุมและการแสดงความคิดเห็นของประชาชน  ไม่ว่าประชาชนจะอยู่ฝ่าย ‘งาน’ หรือฝ่าย ‘สิ่งแวดล้อม’ ก็ตาม  เช่นมีนโยบายยกเลิกโครงการพัฒนาที่สร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม  ระบบนิเวศ  ธรรมชาติและวิถีชีวิตของประชาชน  เช่น  ยกเลิกโครงการโขง-เลย-ชี-มูล  โครงการระเบิดเกาะแก่งแม่น้ำโขง  ส่วนเขื่อนที่สร้้างเสร็จแล้วเช่นเขื่อนปากมูลควรทุบทิ้งเสียเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศลุ่มน้ำที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำโขงให้ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพกลับคืนมาใหม่  ยกเลิกนโยบายเพิ่มพื้นที่ปลูกอ้อยเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อย-น้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวล  เพราะจะมีการแย่งยึดที่ดินทำกินของประชาชนรุนแรงเกินไป  ยกเลิกโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ใช้วัตถุดิบถ่านหินทั้งหมด  ผลักดันกฎหมายอากาศบริสุทธิ์โดยบังคับให้การปล่อยฝุ่นละอองพีเอ็ม 2.5 และฝุ่นนาโนที่มีขนาดเล็กกว่าฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ออกสู่บรรยากาศเป็นไปตามหรือใกล้เคียงกับมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกให้มากที่สุด  และกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษออกสู่สิ่งแวดล้อมตั้งแต่แหล่งกำเนิดมลพิษและปลายปล่องโรงงาน  และเปิดช่องให้ประชาชนฟ้องให้ลงโทษรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพถ้าไม่นำมาตรการต่าง ๆ ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายไปปฎิบัติ  เป็นต้น

พรรคการเมืองที่กำลังแข่งขันกันหาเสียงอยู่ในขณะนี้ควรตระหนักอย่างจริงจังว่าการเร่งรัดการพัฒนาเพื่อทำให้บ้านเมืองเรามีเศรษฐกิจเจริญเติบโตตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา  อย่างน้อยที่สุดก็นับตั้งแต่การเริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับแรกเมื่อปี 2504  ได้ทำให้สภาพแวดล้อม  ธรรมชาติ  ระบบนิเวศที่สัมพันธ์กับแม่น้ำ  อากาศ  ผืนดิน  ป่าชายเลน  ภูเขา  ท้องทะเล  ชีวิตผู้คน  ฯลฯ  ได้รับความเสียหายอย่างหนัก  เริ่มต้นของปีนี้ที่กรุงเทพฯและปริมณฑลถูกโจมตีโดยฝุ่นพีเอ็ม 2.5 จนเกิดสภาพอากาศเลวร้ายต่อเนื่องยาวนานก็เป็นเหตุบ่งบอกได้อย่างดี  พรรคการเมืองควรตระหนักอย่างจริงจังว่าบ้านเมืองที่สวยงามคือบ้านเมืองที่หายใจด้วยอากาศสะอาด  มีน้ำสะอาดสำหรับดื่มและใช้  มีอาหารปลอดภัยจากสารพิษ  หรือการใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศที่มีอากาศบริสุทธิ์  น้ำสะอาด  อาหารปลอดภัยจากสารพิษ  นั้น  สิ่งเหล่านี้คือสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์

ในขณะที่บ้านเมืองเรากำลังจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2562  พรรคการเมืองต่าง ๆ ที่กำลังแข่งขันหาเสียงกันอยู่ในขณะนี้ควรคิดให้หนักว่าจะเสนอนโยบายที่สร้างดุลยภาพระหว่าง ‘งาน’ กับ ‘สิ่งแวดล้อม’ ให้แจ่มชัดขึ้นได้อย่างไร  เพราะโลกเปราะบางเกินกว่าจะหันหลังกลับไปใช้กระบวนทัศน์เดิม ๆ ในการพัฒนาโดยไม่สนใจใยดีต่อสภาพแวดล้อม  ธรรมชาติและระบบนิเวศที่ทรุดโทรมลงอย่างต่อเนื่องจนก่อเกิดภาวะโลกร้อนคุกคามความสงบสุขของผู้คนอยู่ในขณะนี้

 


[1] คำนำจากหนังสือ การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม: การศึกษาเบื้องต้นถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อแรงงานในประเทศไทย. รศ.ดร.นิรมล สุธรรมกิจ  รศ.ดร. กิริยา กุลกลการ. ตีพิมพ์ครั้งที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 (ดาวน์โหลดหนังสือเล่มนี้ได้ที่ http://library.fes.de/pdf-files/bueros/thailand/14386.pdf)

 

ที่มาภาพประกอบหน้าแรก: stevepb (CC0 Public Domain) 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: