แอมเนสตี้-ICJ เรียกร้องดีเอสไอนำตัวผู้สังหาร 'บิลลี่' มาลงโทษ

กองบรรณาธิการ TCIJ 5 ก.ย. 2562 | อ่านแล้ว 5191 ครั้ง

แอมเนสตี้-ICJ เรียกร้องดีเอสไอนำตัวผู้สังหาร 'บิลลี่' มาลงโทษ

คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists หรือ ICJ) และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) ออกแถลงการณ์ร่วมเรียกร้องดีเอสไอนำตัวผู้สังหาร 'พอละจี รักจงเจริญ' หรือ 'บิลลี่' นักสิทธิมนุษยชนเพื่อกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยง มาลงโทษ ที่มาภาพ: Thai News Pix

5 ก.ย. 2562 คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists หรือ ICJ) และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) ออกแถลงการณ์ร่วมหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) การแถลงว่าได้ค้นพบชิ้นส่วนร่างกายของร่างกายของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ นักสิทธิมนุษยชนเพื่อกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยง ทำให้การเฝ้ารอบนความไม่แน่นอนมาเป็นเวลาหลายปีของครอบครัวเขาจบลงด้วยความเศร้าโศก ความคืบหน้านี้ควรนำไปสู่ความพยายามที่จะหาตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังการบังคับบุคคลให้สูญหายซึ่งเป็นอาชญากรรมร้ายแรงและนำตัวผู้เกี่ยวข้องที่กระทำความผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ในวันที่ 3 ก.ย. 2562 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม แถลงว่าเจ้าหน้าที่ได้พบชิ้นส่วนกระดูกซึ่งจากการตรวจสอบแล้วน่าเชื่อว่าเป็นของบิลลี่ โดยพบอยู่ในถังน้ำมันที่จมน้ำบริเวณสะพานแขวนในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี

นายเฟรเดอริก รอว์สกี ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ICJ ย้ำว่า ดีเอสไอควรเพิ่มความพยายามมากขึ้นเพื่อระบุตัวผู้ที่กระทำการสังหารบิลลี่และนำตัวพวกเขามาสู่กระบวนการยุติธรรม

"ถ้าประเมินพยานหลักฐานและพบว่าบิลลี่ตกเป็นเหยื่อของการบังคับบุคคลให้สูญหาย ผู้กระทำความผิด รวมทั้งผู้ที่มีหน้าที่ในการบังคับบัญชาบุคคลดังกล่าว ควรถูกดำเนินคดีในข้อหาที่เหมาะสมและร้ายแรงโดยสอดคล้องกับพันธกรณีของประเทศไทยตามกฎหมายระหว่างประเทศ มิใช่การตั้งข้อหาตามความผิดอาญาที่เบากว่าและไม่สะท้อนความร้ายแรงของความผิดที่เกิดขึ้น”

บิลลี่ถูกพบเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2557 ระหว่างถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

นายนิโคลัส เบเคลัง รักษาการผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิค แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า คดีนี้สะท้อนให้เห็นความเสี่ยงอย่างแท้จริงที่นักกิจกรรมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยต้องเผชิญ ทั้งการถูกทำร้าย ตกเป็นเหยื่อของการบังคับบุคคลให้สูญหาย และการสังหาร

“คดีนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ถูกเพิกเฉยมาอย่างยาวนาน รัฐบาลไทยต้องกำหนดให้การบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นความผิดอาญาตามกฎหมายในประเทศ หากไม่ทำเช่นนั้น ย่อมส่งผลให้ขาดกลไกที่เป็นอิสระ เป็นกลาง และมีประสิทธิภาพในการที่จะสอบสวนคดีเหล่านี้ ทั้งยังทำให้บรรยากาศการลอยนวลพ้นผิดเลวร้ายลง”

อนึ่ง ดีเอสไอระบุว่าชิ้นส่วนกระดูกที่ค้นพบมีสารพันธุกรรมตรงกับแม่ของบิลลี่ ซึ่งหมายถึงว่าเป็นกระดูกที่มาจากผู้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเธอ อย่างไรก็ดี ดีเอสไอปฏิเสธที่จะระบุชื่อผู้ต้องสงสัย และขอเวลาเพิ่มเติมในการสอบสวนคดีนี้และการตรวจสอบเศษชิ้นส่วนที่ค้นพบต่อไป

 

ข้อมูลพื้นฐาน

เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2562 คณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจขององค์การสหประชาชาติ (UN Working Group on Enforced or Involuntary Disappearance -WGEID) ได้เผยแพร่รายงานประจำปี 2562 ต่อที่ประชุมใหญ่คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council) ระบุจำนวนผู้ถูกบังคับให้สูญหายในไทย 86 คน (เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ประมาณเกือบ 40 ราย สถานการณ์ภาคใต้ประมาณ 31 การปราบปรามยาเสพติดในภาคอีสาน รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ทางเหนือ ประมาณ 10 กว่าราย ในกรุงเทพฯ มีกรณีสมชาย นีละไพจิตร ทนง โพธิ์อ่าน และผู้สูญหายจากความขัดแย้งทางการเมือง) ซึ่ง ประเทศไทยนับเป็นประเทศที่มีผู้ถูกบังคับสูญหายเป็นลำดับ 3 ในอาเซียน รองจากฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: