หนังสือพิมพ์แนวหน้า รายงานเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2561 ว่าศ.พญ.ชุติมา ศิริกุลชยานนท์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงเครื่องดื่มชง เช่น กาแฟเย็น ชาเย็น น้ำแดงโซดา ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่ประชาชน โดยจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างร้านค้ารวม 62 แห่ง บริเวณถนนราชวิถีรอบบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และถนนสีลม อันเป็นถนนสายเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ เก็บตัวอย่างเครื่องดื่ม ชนิดต่างๆ รวม 270 ตัวอย่าง พบว่า
เมื่อเปรียบเทียบปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่ม 1 แก้ว ปริมาณ 250 มล. เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ 1.น้ำแดงโซดา ปริมาณน้ำตาล 15.5 ช้อนชา 2.เครื่องดื่มมอลต์รสช็อกโกแลต 13.3 ช้อนชา 3.ชามะนาว 12.6 ช้อนชา 4.ชาดำเย็น 12.5 ช้อนชา และ 5.นมเย็น 12.3 ช้อนชา ส่วนชาเย็น กาแฟเย็น ชาเขียวเย็น มีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ย 11 ช้อนชา และโกโก้มีปริมาณน้ำตาล 10.8 ช้อนชา ซึ่งหมายความว่าหากบริโภคเครื่องดื่มหวาน 1 แก้ว (250 มล.) ก็มีปริมาณน้ำตาลที่เกินความต้องการ ที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันแล้ว
ขณะที่ รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล แห่งสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล มองว่าพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มหวานบนถนนสายเศรษฐกิจอันเป็นวิถีชีวิตของคนวัยทำงานและนักศึกษา ซึ่งถือเป็นแรงงานที่สำคัญของประเทศเพราะเป็นกลุ่มผลิตภาพหลักในการสร้างรายได้ของประเทศ จึงเป็นตัวชี้วัดถึงสัญญาณอันตรายโดยไม่รู้ตัว เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีสารอาหารน้อย มีแต่น้ำตาลและไขมันในปริมาณสูง เป็นรากของกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรั้ง ทั้งเบาหวาน ความดัน ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว
นอกจากนี้เครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้หรือน้ำสมุนไพรที่ขายตามข้างทาง ถึงจะมีวิตามินและมีสารต้านอนุมูลอิสระจากผักและผลไม้ แต่ในรูปแบบที่ร้านค้าวางขายนั้นอยู่ในระดับที่เจือจางมาก ผู้บริโภคจึงแทบจะไม่ได้รับคุณค่า ดังกล่าว ตรงกันข้ามสิ่งที่ได้กลับมาคือปริมาณน้ำตาล ดังนั้น ระหว่างที่เครื่องดื่มซึ่งมีฉลากในร้านสะดวกซื้อกำลังปรับตัวตามกฎหมายเก็บภาษีความหวาน ผู้บริโภคก็ต้องฉลาดเลือกที่จะรับประทานเครื่องดื่มริมทางด้วย
รศ.ดร.ประไพศรี ยังกล่าวอีกว่า เคยมีผลการศึกษาพบคนไทยบริโภคน้ำตาลเกินกว่าปริมาณที่ควรได้รับ 4-7 เท่าตัว โดยข้อมูลที่คำนวณจากรายงานการบริโภคน้ำตาลของคนไทย ปี 2557 พบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยถึง 28 ช้อนชา ต่อคนต่อวัน ซึ่งแหล่งที่มาของการบริโภคน้ำตาลล้นความต้องการของร่างกายส่วนใหญ่มาจากเครื่องดื่มนานาชนิด และพฤติกรรมดังกล่าวเป็นสาเหตุสำคัญของโรคอ้วน
ทั้งนี้พฤติกรรมการบริโภคสามารถสร้างได้โดยเริ่มตั้งแต่อายุน้อยๆ ตั้งแต่การบริโภคนมผงต่อจากนมแม่ การ รับประทานอาหาร ขนม ตั้งแต่อยู่ที่บ้าน หากเกิดความเคยชินกับรสหวาน คือต้องหวานถึงจะเรียกว่าอร่อย ก็จะทำให้ติดรสหวานและเพิ่มปริมาณการบริโภคน้ำตาลมากขึ้น พ่อแม่ ผู้ปกครองควรตระหนักถึงปัญหาสุขภาพที่จะเกิดกับลูกหลานในวันข้างหน้า โดยการเลือกนมหรืออาหารต่างๆ ให้ดี และปรุงอาหารโดยที่ไม่ต้องเติมน้ำตาล[1]
สำหรับมาตรการการรับมือภัยจากความหวานในประเทศไทยนั้น นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี ในฐานะรองโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยภายหลังการประชุม เรื่องการปรับภาษีความหวานว่า ในวันที่ 1 ต.ค.62 จะปรับขึ้นอัตราภาษีความหวานอีกเท่าตัว หลังจากได้ปรับโครงสร้างภาษีไปแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน หรือตั้งแต่ปี 60 ซึ่งส่งผลให้เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลผสมส่วนใหญ่ ประมาณ 10-14 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร (มล.) จะเสียภาษีเพิ่มเป็น 1 บาทต่อลิตร จากเดิมเสียที่ 50 สตางค์ต่อลิตร คาดว่ากรมสรรพสามิตจะสามารถจัดเก็บภาษีในกลุ่มเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ล้านบาทต่อปี หรือเพิ่มขึ้นได้อีกประมาณ 1,500 บาท จากปัจจุบันจัดเก็บภาษีได้ 2,000 ล้านบาทต่อปี
สำหรับภาษีความหวาน กรมจะจัดเก็บในอัตราขั้นบันไดทุก 2 ปี โดยปรับเพิ่มเป็น 2 เท่า สูงสุดถึง 5 บาทต่อลิตร คือ หลังจากวันที่ 1 ต.ค.64 ภาษีในกลุ่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลผสม 10-14% จาก 1 บาทต่อลิตร จะเพิ่มเป็น 3 บาทต่อลิตร และในวันที่ 1 ต.ค.66 จะเพิ่มจาก 3 บาทต่อลิตร เป็น 5 บาทต่อลิตร ซึ่งกรมเชื่อว่า หลังจากนี้ผู้ประกอบการจะปรับเปลี่ยนสูตรในเครื่องดื่ม เพื่อลดความหวานลงเอง เพราะไม่ต้องการแบกรับภาระต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้น
“ในช่วงที่กรมสรรสามิตเริ่มเก็บภาษีความหวานจากเครื่องดื่มเมื่อ 2 ปีก่อน พบว่า มีกลุ่มเครื่องดื่มที่ได้ปรับลดปริมาณน้ำตาลให้น้อยลง เพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว จาก 60-70 สินค้า เพิ่มเป็น 200-300 สินค้า และมีน้ำดำบางค่ายลดปริมาณน้ำตาลลงจาก 10% เหลือเพียง 7.5% ทำให้เครื่องดื่มดังกล่าวเสียภาษีในอัตราเดิม” นายณัฐกรกล่าว[2]
ในแต่ละมุมของโลกก็เริ่มตระหนักถึงภัยจากความหวานและออกมาตรการรับมือภัยจากความหวานด้วยเช่นกัน
หนึ่ง – สิงคโปร์
กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ประกาศให้เครื่องดื่มน้ำตาลสูงที่จะวางขายต้องมีฉลากแจกแจงสัดส่วนน้ำตาลและสารอาหาร
ในขณะที่เครื่องดื่มที่ถูกกำหนดให้เป็นเครื่องดื่มที่ไม่ดีต่อสุขภาพมากที่สุดจะถูกห้ามปรากฎในสื่อโฆษณาทุกประเภท
ส่งผลให้เวลานี้ สิงคโปร์กำลังจะเป็นประเทศแรกในโลกที่จะออกกฎหมายห้ามโฆษณาเครื่องดื่มน้ำตาลสูงที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เพื่อต่อสู้กับอัตราผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เพิ่มสูงขึ้น
กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ เผยว่ามาตรการดังกล่าวเป็นเพียงจุดเริ่มต้นและเตรียมจะศึกษาความเป็นไปได้ในเรื่องของการเก็บภาษีน้ำตาลและการแบนน้ำตาลต่อไปในอนาคต โดยระหว่างนี้จะทำงานร่วมกับโรงงานผลิตเพื่อทำงานร่วมกันในการดำเนินมาตรการดังกล่าวและจะประกาศรายละเอียดอีกครั้งในปีหน้า
อย่างไรก็ตามข้อมูลจากสมาพันธ์โรคเบาหวานนานาชาติ พบว่าที่ผ่านมาสิงคโปร์มีผู้ใหญ่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน 13.7 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในบรรดาประเทศพัฒนาแล้ว[3]
สอง – มาเลเซีย
รัฐบาลมาเลเซียเปรยเอาไว้ตั้งแต่ต้นปีว่าจะเริ่มเก็นภาษีน้ำตาลในเครื่องดื่ม 1 กรกฎาคมนี้ จากเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรือสารให้ความหวานจากน้ำตาลสูงกว่า 5 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร รวมถึงน้ำผลไม้และน้ำผักที่ใส่น้ำตาลมากกว่า 12 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตรด้วย โดยนายกรัฐมนตรี มหาเธร์ โมฮัมหมัด เผยในงานประชุมการลงทุน 2019 ว่ารัฐบาลมาเลเซียจะนำรายได้จากการเก็บภาษีนี้ มาเป็นเงินทุนโครงการอาหารเช้าเพื่อสุขภาพให้เด็กในโรงเรียนประถมในกำกับของรัฐ
ที่ผ่านมารัฐบาลมาเลเซียมีแผนที่จะกำหนดเริ่มเก็บภาษีน้ำตาลเดือนเมษายน แต่สุดท้ายได้เลื่อนไปเป็น 1 กรกฎาคม พร้อมสร้างความมั่นใจกับประชาชนว่า ปีนี้จะไม่มีภาษีใหม่ประเภทอื่นแล้วนอกจากภาษีน้ำตาลเท่านั้น
นอกจากนี้มหาเธร์เผยอีกว่า การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ชาวมาเลเซียต้องเพิ่มผลผลิต ซึ่งทำได้โดยแรงงานที่มีคุณภาพ จากการศึกษาที่มีคุณภาพ รัฐบาลจึงมีความต้องการให้เด็กๆ มาเลเซียแข็งแรง และมีสุขภาพดี โดยที่การปฏิรูปครั้งใหญ่จะมีขึ้นหลังทีมเฉพาะกิจได้พิจารณานโยบายการศึกษาแล้ว ซึ่งจะครอบคลุมหลายด้าน รวมทั้งการใช้ภาษาอังกฤษ การปรับปรุงหลักสูตรพลเมืองและศาสนา คุณภาพครูผู้สอน และความสามารถที่จะใช้ทำงานได้จริงของคนเรียนจบใหม่อีกด้วย[4]
สาม – เมืองลิเวอร์พูล
สหราชอาณาจักร สภาเทศบาลเมืองลิเวอร์พูล ได้ใช้วิธีประกาศรายชื่อเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลผสมในปริมาณมาก เช่น น้ำอัดลม และเครื่องดื่มบำรุงกำลังต่างๆ เพื่อเตือนพ่อแม่ผู้ปกครองเกี่ยวกับอันตรายที่จะเกิดกับสุขภาพของลูกๆ ซึ่งเมืองลิเวอร์พูลนั้น เป็นเมืองที่มีอัตราของโรคอ้วนในวัยเด็กและฟันผุสูงที่สุดในสหราชอาณาจักร
เดนนิส แคมแบล บรรณาธิการด้านนโยบายสุขภาพของเดอะการ์เดียน สื่อมวลชนสหราชอาณาจักร ได้เขียนรายงานเรื่อง “ความหวานที่ซ่อนอยู่” โดยระบุว่า
“แคมเปญของเมืองลิเวอร์พูลแคมเปญนี้ต้องการที่จะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มต่างๆ แก่ผู้ปกครอง โดยระบุชื่อเครื่องดื่มอย่างชัดเจน เช่น โคลา ซึ่งกลุ่มแพทย์และสาธารณสุขได้เสนอให้รัฐบาลใช้วิธีนี้ในระดับประเทศ”
2 พ.ค.59 เป็นวันแรกที่ลิเวอร์พูลเริ่มการรณรงค์ด้วยวิธีการประกาศรายชื่อเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลผสมอยู่มาก เมื่อเริ่มประกาศแม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพยังกล่าวว่า ไม่น่าเชื่อที่ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มยอดนิยมและรู้จักกันดีจะมีปริมาณน้ำตาลจำนวนมากผสมอยู่
แผ่นป้ายประชาสัมพันธ์ที่แพทย์จากโรงพยาบาลและศูนย์เด็กจัดทำขึ้น ได้แสดงถึงสัดส่วนและปริมาณของน้ำตาลในเครื่องดื่มที่นิยมเจ็ดชนิด ขนาด 500 มิลลิลิตร ซึ่งมีปริมาณน้ำตาลที่แตกต่างกัน
Lucozard เครื่องดื่มบำรุงกำลังยี่ห้อดังของอังกฤษ จะมีจำนวนน้ำตาลถึง 15.5 ลูกบาศก์น้ำตาล หรือราวๆ 62 กรัม ตามด้วย Coca-Cola (หรือโค้ก) มีจำนวนน้ำตาล 13.5 ลูกบาศก์น้ำตาล และแม้กระทั่งน้ำแร่ธรรมชาติ ยี่ห้อ Volvic ขนาด 500 มิลลิลิตร ก็ยังมีส่วนผสมของน้ำตาลถึง 5.75 ลูกบาศก์น้ำตาลเช่นกัน
จากการศึกษาเครื่องดื่มประเภทนมและน้ำผลไม้ โดยใช้ข้อมูลที่แสดงบนฉลากที่ติดบนขวดเครื่องดื่มและเวปไซด์ของผู้ผลิต พบว่า ช็อคโกแลตปั่นผสมนม Frijj ขนาด 471 มิลลิลิตร มีปริมาณน้ำตาลสูงถึง 12.7 ลูกบาศก์ (50.8 กรัม) ซึ่งสูงเป็นอันดับ 3 รองจาก Lucozard และ Coca-Cola ในขณะที่น้ำส้มทรอปปิคานาขนาด 300 มิลลิลิตร มีจำนวนน้ำตาล 7.5 ลูกบาศก์หรือ 30 กรัม
เป้าหมายของการรณรงค์ด้วยวิธีการนี้ก็คือ เพื่อที่จะแสดงให้ครอบครัวเห็นถึงปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มเหล่านั้น ก่อนตัดสินใจกระดกมันเข้าร่างกาย
พญ.แซนดร้า เดวีส์ ผู้อำนวยการฝ่ายสาธารณสุข เมืองลิเวอร์พูล กล่าวถึงการรณรงค์เรื่องนี้ว่า แม้แต่ตัวเธอเองยังรู้สึกประหลาดใจที่พบปริมาณน้ำตาลจำนวนมากในเครื่องดื่มเหล่านี้
พญ.เดวีส์ กล่าวว่า “คุณจะได้รับปริมาณน้ำตาลมากกว่าปริมาณน้ำตาลที่คุณควรได้รับสูงสุดต่อวัน หรืออาจเป็นได้รับเป็น 2 เท่า เพียงเพราะดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้" พญ.เดวีส์ กล่าว
ในปีที่แล้ว ข้อแนะนำในการบริโภคน้ำตาลได้รับการแก้ไข โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ให้คำแนะนำว่า ในแต่ละวันผู้บริโภคไม่ควรจะได้รับน้ำตาลมากกว่า 5% ของการเผาผลาญพลังงานจากน้ำตาลของร่างกาย
เด็กอายุ 3 ปี ควรได้รับปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 4 ลูกบาศก์น้ำตาลต่อวัน เด็กอายุ 4-6 ปี ควรได้รับมากสุด 5 ลูกบาศก์น้ำตาลต่อวัน เด็กอายุ 7-10 ปี ควรได้รับไม่เกิน 6 ลูกบาศก์ต่อวัน และเด็กอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 11 ปี ควรได้รับไม่เกิน 7 ลูกบาศก์ต่อวัน
ซันโดส อัลบาดลิม ทันตแพทย์ที่ปรึกษาแผนกทันตกรรมเด็กของมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล กล่าวว่า เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักที่ว่า ทำไมทุกวันนี้ เด็กๆ ถึงมีปัญหาเรื่องฟันกันเป็นจำนวนมาก
“เมื่อเร็วๆ นี้ ผมเพิ่งทำการถอนฟัน 15 ซี่ ให้กับเด็กอายุ 14 ปี ซึ่งเป็นกรณีที่รุนแรง แต่ก็พบได้ไม่ยาก ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้โดยการลดปริมาณน้ำตาลจากการบริโภค และรักษาความสะอาดฟันโดยการหมั่นแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง” เขากล่าว
ในการดำเนินการขั้นตอนต่อไป คือ จะต้องเก็บภาษีน้ำตาล เสนอให้มีการปรับลดปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีปริมาณน้ำตาลมากเกินกำหนด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเด็กๆ เพราะกลุ่มสุขภาพคิดว่า “น้ำตาลคือยาสูบชนิดใหม่” ศ.เคปเวลล์ กล่าว[5]
อ้างอิง
[1] https://www.tcijthai.com/news/2018/17/current/8571
[2] https://www.thairath.co.th/news/business/1657076
[3] https://www.matichon.co.th/foreign/news_1707400
[4] https://www.springnews.co.th/news/464407
[5] https://www.hfocus.org/content/2016/08/12509
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ