'สมาชิกพรรคประชาชาติ' รณรงค์ออนไลน์ผ่าน 'change.org' ให้ยกเลิกการบังคับให้ประชาชนลงทะเบียนซิมโทรศัพท์และบังคับให้สแกนใบหน้าและอัตลักษณ์พื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ระบุมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชน
13 ก.ค. 2562 สมาชิกเว็บไซต์ change.org ที่ใช้ชื่อว่า 'สมาชิกพรรคประชาชาติ' ได้เปิดการรณรงค์ออนไลน์หัวข้อ 'ยกเลิกลงทะเบียนซิมและสแกนใบหน้า' โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าได้ส่งข้อความให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ4 อำเภอของจังหวัดสงขลา คือ อ.จะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา ระบุว่า
กอ.รมน.ภาค 4 ขอให้ผู้ใช้บริการใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ กับ 4 อำเภอสงขลาลงทะเบียนซิมด้วยระบบตรวจสอบใบหน้า/อัตลักษณ์ภายในวันที่ 31 ต.ค. 2562 เช็กสถานะซิมกด*165*5*เลขบัตรประชาชน# โทรออกหากไม่ดำเนินการในวันที่กำหนดจะไม่สามารถใช้บริการได้ฟังข้อมูลเพิ่มเติมกด*915653 ภาษายาวีกด*915654
การบังคับให้ประชาชนลงทะเบียนซิมโทรศัพท์และบังคับให้สแกนใบหน้าและอัตลักษณ์นั้น มีความสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าอาจต้องทบทวนอย่างละเอียดว่าสามารถกระทำได้หรือไม่ แม้จะอ้างระเบียบสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ก็ตาม
กรณีดังกล่าวพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ กล่าวว่าพรรคประชาชาติสนับสนุนให้แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยหลักนิติธรรม สนับสนุนให้หน่วยงานด้านความมั่นคงบูรณาการทำงานร่วมกับภาคประชาชน เพื่อความสงบสุขของพื้นที่ โดยปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุด บุคคลทุกคนต้องได้รับการคุ้มครอง และถูกบังคับใช้กฏหมายอย่างเสมอภาค กรณีการบังคับลงทะเบียนซิมโทรศัพท์และพิสูจน์อัตลักษณ์นั้น มีประเด็นน่าจะขัดรัฐธรรมนูญ หมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา 26 การจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลจะกระทำไม่ได้ เว้นแต่มีบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และมาตรา 36 เสรีภาพในการติดต่อสื่อสารถึงกัน การกระทําด้วยประการใดๆเพื่อให้ล่วงรู้หรือได้มาซึ่งข้อมูลที่บุคคลสื่อสารถึงกันจะกระทํามิได้ เว้นแต่มีคําสั่งหรือหมายของศาล หรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ และเห็นว่าระเบียบสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ไม่ใช่กฎหมายและมีศักดิ์ต่ำกว่ากฎหมาย
พันตำรวจเอกทวี เห็นว่าถ้า กอ.รมน.หรือรัฐ มีความจำเป็นตรวจสอบใบหน้าและอัตลักษณ์จากซิมมือถือ รัฐบาลต้องบัญญัติเป็นฏหมาย โดยให้รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ (ประกอบด้วย ส.ส.จำนวน 500 คน และ ส.ว.จำนวน 250 คน) เพื่อได้ร่วมกันพิจารณาบัญญัติเป็นกฏหมายตามรัฐธรรมนูญต่อไป
อนึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ซึ่งมีศักดิ์สูงกว่าระเบียบ กสทช.
มาตรา 26 ระบุว่าการตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญในกรณีที่รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้กฎหมายดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรมไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุและจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้รวมทั้งต้องระบุเหตุผลความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพไว้ด้วย
กฏหมายตามวรรคหนึ่งต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไปไม่มุ่งหมายให้บังคับใช้แก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง
มาตรา 36 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารถึงกันไม่ว่าทางใดๆ การตรวจ การกัก หรือการเปิดเผยข้อมูลที่บุคคลสื่อสารถึงกัน รวมทั้งการกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อให้ล่วงรู้หรือได้มาซึ่งข้อมูลที่บุคคลสื่อสารถึงกัน จะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่ง หรือหมายของศาล หรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
พันตำรวจเอก ทวี ยังกล่าวเพิ่มเติมว่าพรรคประชาชาติจะนำประเด็นดังกล่าวให้คณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคประชาชาติ ซึ่งประกอบด้วย พล.ต.ท.อนุรุต กฤษณะการะเกตุ ที่ปรึกษา, พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ที่ปรึกษา, นายวิทยา พานิชพงศ์ ที่ปรึกษา และนายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ เป็นประธานคณะทำงาน มีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายรวม 10 ท่านเป็นคณะทำงาน ได้พิจารณาเพื่อเสนอเข้าที่ประชุมผู้บริหารพรรคประชาชาติ ผลการประชุมจะส่งให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร หรือ ส.ส.ของพรรคได้เป็นข้อมูลใช้ในสภาผู้แทนราษฏร และนำไปประสานกับหน่วยงานรัฐ กอ.รมน.และประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีต่อกัน รวมทั้งเป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนต่อไป
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ