ความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพยุโรป (EU) กับกัมพูชาถึงจุดวิกฤตและมีแนวโน้มที่จะหยุดการเจรจาหลังจากวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา EU ได้ประกาศเริ่มกระบวนการพิจารณาตัดสิทธิพิเศษทางการค้าต่อกัมพูชาในโครงการ Everything but Arms (EBA) ภายในระยะเวลา 18 นับจากนี้ ส่งผลให้เศรษฐกิจของกัมพูชาอยู่ในสถานะที่น่าเป็นห่วง เพราะทีผ่่านมาเป็นประเทศที่ได้รับสิทธิประโยชน์มากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากบังกลาเทศในการเข้าถึงตลาด EU

โดยสินค้าที่ส่งออกไปยัง EU ทุกรายการจะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า ยกเว้นอาวุธยุทโธปกรณ์ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ถูกจัดเป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุดในโลกทั้งหมด 49 ประเทศ อย่างไรก็ตามกระบวนการดังกล่าวจะใช้เวลา 18 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนสิงหาคม ปี2020 โดยช่วง 6 เดือนแรก EU จะส่งทีมเข้าหารือกับเจ้าหน้าที่ของกัมพูชา และติดตามผลพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ส่วนอีก 12 เดือนที่เหลือ จะเป็นกระบวนการพิจารณาผลทั้งหมด ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการถอดถอนสิทธิพิเศษ

ด้านหัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของ EU เผยว่าคำเตือนจากคณะกรรมาธิการยุโรป ไม่ทำให้ฮุน เซน พยายามแก้ไขปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน แรงงาน และประชาธิปไตย ทั้งเปิดทางให้อำนาจเพียงพรรคเดียวตั้งแต่นั่งเป็นผู้นำประเทศ 34 ปี ขณะที่ประธานสมาคมสิ่งทอของกัมพูชา เผยว่าหาก EU พิจารณายกเลิกสิทธิ EBA เป็นไปได้ว่าผู้ผลิตอุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูปและรองเท้าในกัมพูชา จะย้ายการผลิตไปประเทศเวียดนามแทน เพราะเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในอาเซียนที่มีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับหลายประเทศทั่วโลก และยังมี FTA ระหว่างเวียดนามและ EU อีกด้วย