คณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ร่วมกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ลงนามบันทึกข้อตกลง เปิดที่ว่าการอำเภอทั้ง 878 แห่งทั่วประเทศ เป็นหน่วยรับสมัครสมาชิกและรับเงินออมสะสม

สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ รายงานเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2562 ว่านางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า กอช. ร่วมกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ลงนามบันทึกข้อตกลงในการยกระดับการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนผู้ประกอบอาชีพอิสระและสมาชิกของ กอช. ที่มีจำนวนกว่า 2 ล้านคน วงเงินรวม 6,000 ล้านบาท ได้เข้าถึงการออม เพื่อเป็นหลักประกันด้านบำนาญหลังอายุ 60 ปี ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้ กอช. มีหน่วยรับสมัครสมาชิกใหม่และรับเงินออมสะสมของสมาชิก กอช. ผ่านที่ว่าการอำเภอ จำนวน 878 แห่งครอบคลุมทั้งประเทศ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงการออมกับ กอช. ได้ง่ายยิ่งขึ้น

โดยที่ผ่านมา กอช.ได้จัดอบรมความรู้ เกี่ยวกับหน่วยรับสมัครแก่เสมียนตราจังหวัดและอำเภอทั่วประเทศ ในโครงการอบรมเชิงปฎิบัติการผู้รับผิดชอบงาน กอช.ในพื้นที่ ซึ่งมีการอบรมรายภูมิภาคไปแล้ว 5 รุ่น และได้มีการอบรมให้ความรู้ ครู ก และครู ข โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมกว่า 1,000 คนจาก 76 จังหวัด เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับฐานสมาชิก กอช. ที่เพิ่มขึ้น

ในส่วนของการออมกับ กอช. เฉลี่ยการออมอยู่ที่ 100 บาทต่อคน/ต่อเดือน รวม 1,200 บาทต่อปี โดยสมาชิกจะได้รับเงินสมทบจากรัฐบาลตามอายุของสมาชิกขณะส่งเงินออม แบ่งเป็น อายุ 15-30 ปี รับเงินสมทบ 600 บาท/ปี อายุ 30-50 ปี รับเงินสมทบ 960 บาท/ปี และอายุ 50-60 ปี รับเงินสมทบ 1,200 บาท/ปี

นอกจากนี้ภายในปี 2565 กอช. ได้ตั้งเป้าสมาชิกไว้ที่ 15 ล้านคน โดยจะผลักดันให้สมาชิกออมเงินให้ได้มากกว่า 1,200 บาท/ปี เพื่อเสริมเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งจะมีการปรับปรุงกฎหมายบางข้อ อาทิ การปรับเพิ่มเงินสมทบและเงินสะสมของสมาชิก ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงพิจารณา ซึ่งจะส่งผลให้สมาชิกมีการออมเพิ่มขึ้นเพื่อได้รับเงินสมทบมากขึ้นตามไปด้วย

สำหรับผู้ที่สนใจสมัครสมาชิกสามารถตรวจสอบสิทธิได้ที่แอปพลิเคชัน "กอช" หรือธนาคารของรัฐทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธอส. ออมสิน และกรุงไทยทุกสาขา รวมทั้งเครือข่ายที่รับสมัครทั่วประเทศ ส่วนผู้ที่มีสิทธิ์สมัครสมาชิก กอช. สามารถสมัครได้ด้วยตนเองผ่านที่ว่าการอำเภอในวันและเวลาราชการ โดยส่งเงินออมสะสมงวดแรกได้ตั้งแต่ 50-13,200 บาท อย่างไรก็ตามการดำเนินงานดังกล่าวจะช่วยให้เกิดการสร้างสังคมแห่งการออม โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ พ่อค้าแม่ค้า เกษตรกร นักเรียน นักศึกษา และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนของประเทศ เพื่อให้มีเงินสามารถพึ่งพาตนเองได้ในวัยชราจากหลักประกันด้านบำนาญที่มั่นคงของรัฐ