มาจากทางสายเปลี่ยว

วีรวรรธน์ สมนึก: 30 เม.ย. 2562 | อ่านแล้ว 4354 ครั้ง


1

มันเป็นหนึ่งในถนนสายเปลี่ยวของประเทศ เส้นทางที่นักทัศนาจรผู้ชอบขับขี่หรือแม้กระทั่งโชเฟอร์รถบรรทุกต่างมีเสียงลือและเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับถนนสายนี้ เช่นว่าคุณอาจเจอช้างป่าเดินข้างทางขณะค่อยๆไต่ขึ้นเนิน คุณอาจเจอหินหล่นแตกจากภูเขาระหว่างช่วงอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว หรือหากคุณพบการปรากฎตัวของหญิงสาวโบกรถยามค่ำคืนคุณไม่ควรจอดรับ แต่แล้วเรื่องราวที่นักเดินทางอย่างผมหวั่นเกรงที่สุดคือประวัติศาสตร์การก่อสร้างถนนสายนี้ ที่เต็มไปด้วยบาดแผลความขัดแย้งและความสูญเสียเลือดเนื้อของผู้คนในชาติจากภาวะการเมืองในอดีต เส้นทางระหว่างพิษณุโลก หล่มสัก ไปสู่ขอนแก่น เป็นระยะทางสัญจรและหมุดหมายของผมในค่ำคืนนั้น  

หลังเสร็จงานอ่านกวีที่จังหวัดน่าน ผมรีบบอกเพื่อนกวีหนุ่มร่างหมี ผู้เริ่มติดลมจากการฉลองเครื่องดื่มตราสิงห์กับเจ้าภาพงาน ว่าควรต้องออกเดินทางได้แล้ว เพราะผมเองมีธุระพรุ่งนี้เช้าที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น ระยะทางกว่า 700 กิโลเมตรนั้น เป็นเรื่องสาหัสสำหรับการขับรถคนเดียวในคืนเดียว แต่มากกว่านั้นคือเส้นทางที่คดเคี้ยวไปตามป่าเขารวมถึงระยะเวลายิ่งผ่าน ความมืดยิ่งเข้าปกคลุมท้องฟ้า และเหมือนว่าจะบั่นทอนกำลังใจนักขับขี่ผู้นี้ลงเรื่อยๆ

เวลาห้าโมงกว่าๆที่ท้องฟ้ายังพอมีแสงแดด พวกเราออกเดินทางด้วยรถกระป๋องบุโรทั่งที่ผมเหมือนได้ของขวัญมาจากโครงการรถคันแรกของรัฐบาลชุดก่อนๆ ระยะแรกเส้นทางออกจากน่านแม้จะมีการทำถนนเป็นระยะๆ แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับการขับขี่ แต่เมื่อเข้าสู่จังหวัดแพร่ท้องฟ้าก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทในช่วงเวลาหนึ่งทุ่ม เพื่อนกวีหนุ่มขอให้ผมแวะพาไปทำธุระส่วนตัวตามคำแนะนำของคนรัก นั่นคือการไปสักการะวัดพระธาตุช่อแฮ อารามหลวงศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแพร่ ซึ่งคนรักของเขาได้รับคำแนะนำมาจากหมอดูอีกที อย่างขัดไม่ได้เราไปถึงพระธาตุในตอนที่แทบจะปิดแล้ว บรรยากาศชวนอ้างว้างวังเวงของวัดเก่าแก่  ยอดสีทองมะลังมะเลืองของเจดีย์ดูหม่นเทาต่างออกไปจากที่เคยแวะเวียนมา คงเพราะแทบไม่มีนักท่องเที่ยวหน้าไหนนึกโปรแกรมเที่ยวพระธาตุช่อแฮในวัน-เวลานี้ได้เหมือนพวกเรา

นั่นทำให้ผมผุดความคิดถึงสถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัด อย่างแพะเมืองผี หรือการไปตามรอยกบฏเงี้ยว ที่คุ้มเจ้าหลวงนครแพร่ ด้วยเวลาแบบนี้สถานที่แห่งนั้นจะชวนหวาดสยองและลี้ลับขนาดไหน

ยิ่งคิดยิ่งเตลิดไปไกล ลำพังการต่อสู้กับการขับรถในบรรยากาศเงียบเหงาปนขมุกขมัวในระยะทางไกลแบบนี้ เป็นสิ่งที่น่าหวั่นมากพอแล้ว  แต่ผม-ผู้ติดตามเพื่อนกวีผู้นั้นมาร่วมงานชุมนุมอ่านกวีของรุ่นพี่นักเขียนท่านหนึ่ง กลับมีเรื่องต้องกังวลอยู่อีกสองสามทาง เรื่องแรกคือพละกำลังของตัวเอง เนื่องจากเพื่อนกวีได้ซดเบียร์เข้าไปมากตั้งแต่บ่ายโมงจนเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุจากการขับรถในวันนั้นแล้ว เรื่องที่สองพละกำลังของรถกระป๋องญี่ปุ่นบุโรทั่งที่มันเริ่มส่งเสียงถึงปัญหาสักอย่าง แต่ผมก็ยังดันทุรังขับข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่าจากกรุงเทพถึงเมืองเหนือจนมาสู่ขากลับทางนี้ได้ และเรื่องที่สามคือผมไม่สามารถแวะจอดนอนค้างที่ไหนได้อีกแล้ว เพราะมีงานรออยู่ข้างหน้าที่จังหวัดขอนแก่น ในช่วงแปดโมงเช้า มีคำถามในใจว่าหากจอดแวะจะเสียเวลาตั้งเท่าไหร่  นั่นเท่ากับว่าผมมีทางเลือกเดียวคือต้องขับรถไปบนเส้นทางสายเปลี่ยนนี้ไปคนเดียวตลอดคืน



2

หลังเพื่อนหนุ่มทำธุระเสร็จราวสองทุ่ม พวกเรา- ซึ่งอาจเป็นผมคนเดียวตัดสินใจกันไปว่า จะแวะกินมื้อเย็นที่พิษณุโลกทีเดียว และแล้วหลังเก๋งบุโรทั่งบึ่งออกจากวัดพระธาตุช่อแฮ เลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอสูงเม่นแล้ว คู่ขาทัศนาจรของผมก็ตกอยู่ในภวังค์หลับไหลไปตลอดทาง ท่ามกลางสายฝนที่พรมลงมาตลอดเส้นทางเข้าสู่อุตรดิตถ์ผ่านเขาพลึงที่มีข่าวอุบัติเหตุรถบัสตกเหวอยู่บ่อยๆ ยิ่งเพิ่มความหวาดหวั่นพรั่นพรึงให้ตัวผมเองเมื่อนึกถึงสภาพรถยามนี้และทัศนวิสัยการมองเห็น  กระทั่งวิ่งบนทางราบเข้าเขตพิษณุโลกและถนนสายนั้นนำพวกเรามาสู่หลักกิโลเมตรที่ 0 แยกอินโดจีน ในอำเภอเมือง ก่อนผมจะปลุกเพื่อนกวีแวะกินจิ้มจุ่มมื้อดึก และเติมน้ำมันให้เต็มถัง

หลังจากนั้นเกือบห้าทุ่มผมขับออกจากตัวเมืองพิษณุโลกเพื่อเข้าสู่เส้นทาง พิษณุโลก - หล่มสัก โดยจะผ่านอำเภอวังทองเป็นอำเภอแรกของการขึ้นเขาเส้นทางนี้ก่อนเข้าสู่เขาค้อ  พลันให้ผมคิดถึงเรื่องราวความหลัง ความหลังที่ทำให้ปัจจุบันกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด และมันกำลังจะเริ่มปรากฏในห้วงความคิดในทางคดโค้งข้างหน้าที่กำลังจะมาเยือน ..


3

"พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยหรือที่ทางรัฐบาลเรียกว่า ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์(ผกค.) กลุ่มเขาค้อ ปลุกระดมชาวเขาและรวบรวมกองกำลังได้ 3,000 คน และยึดเอาเขาค้อเป็นฐานที่มั่น เนื่องจากภูมิประเทศเอื้ออำนวยต่อการซ่องสุมกำลังพล ฝ่ายรัฐบาลเองก็ได้ผนึกกำลัง ตำรวจ ทหาร และพลเรือนอาสาเข้าไปปราบปรามอย่างจริงจัง สูญเสียทั้งอาวุธและผู้คนไปมากมาย"

หนึ่งในข้อเขียนรายงานที่ปรากฎในวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของตัวเอง  คือเรื่องราวที่ผมคิดในหัวเมื่อรู้ครั้งแรกว่า ต้องขับรถผ่านเส้นทางนี้ยามค่ำคืนที่แทบจะลำพังคนเดียวแบบนี้   มันเริ่มกระตุกต่อมกลัวอะไรบางอย่างในภาพจำและจิตใจ

"ยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายทหารใช้ปราบปรามคือการสร้างถนนเข้ารุกไปในพื้นที่ของกลุ่ม ผกค. เป็นการยึดพื้นที่อย่างถาวร และใช้เป็นเส้นทางเคลื่อนพลยุทโธปกรณ์และกำลังบำรุงเข้าสู่สมรภูมิได้อย่างสะดวก โดยมีเป้าหมายคือยึดเขาค้อให้ได้ ก่อนมีการสู้รบเป็นสมรภูมิมีชื่อต่างกันออกไป เช่น ยุทธการผาเมืองเผด็จศึก 1 ที่เป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่และเสียผู้คนไปมากมาย  "

แม้เวลาจะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว แต่เป็นนักเรียนประวัติศาสตร์อย่างผมเองที่ปลุก"ผีคอมมิวนิสต์" มาหลอนตัวเองอย่างหวาดผวาอีกครั้ง    ในระยะทางขึ้นเขาลงเขาจากวังทอง - เขาค้อกว่า 120 กิโลเมตร ผมยังประคองความเร็วของรถ อยู่ที่ระยะทาง 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สองข้างทางมีรถสวนมาบ้าง นานๆครั้งพอให้ชื้นใจ ส่วนผู้โดยสารหนึ่งเดียวในรถของผมนั้นหลับยาวอีกครั้งตั้งแต่จอดแวะปั๊มมีเพียงเสียงหายใจรุนแรงกว่าคนทั่วไปของเขาเท่านั้น ที่ทำให้ผมรู้ว่าไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงลำพังภายในรถเก๋งบุโรทั่งคันนี้ หลายวาบความคิดก็เฝ้าภาวนาว่าขอให้ถึงจุดหมายเร็วๆ แต่ละโค้งทุกทางลงทุกจังหวะผมก็ได้ภาวนาว่า ขออย่าให้สิ่งแปลกปลอมปะปนมาในคราบมนุษย์เลย

กระทั่งผ่านจุดที่ชันที่สุดของเขาค้อ ผ่านหมู่บ้านเข็กกลางและถึงเขตตัวอำเภอเขาค้อในที่สุดเมื่อเวลาล่วงตีสองมาแล้ว

ผมรู้สึกคลายความกังวลไปได้บ้าง ก่อนแวะปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งเพื่อเข้าห้องน้ำ และเดินทางต่อไปบนเส้นทางหล่มสัก-อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว อำเภอคอนสาร และอำเภอชุมแพ ซึ่งระยะทางอีก 120 กว่ากิโลเมตร นั้นขับยากกว่าระยะทางก่อนหน้าเสียอีก เพราะแทบไม่มีบ้านคนและแสงไฟอยู่เลยตลอดสองข้างทาง ราวๆสิบยี่สิบนาทีจะมีรถสวนผ่านมาพร้อมเปิดไฟสูงสักครั้งหนึ่ง อีกความหวาดหวั่นที่สัมผัสได้คือทางเส้นนี้จะมีรูปแบบของเนินขึ้นและทางโค้งชันที่คล้ายคลึงกันมาก จนคุณอาจนึกไปว่าขับมาที่นี่หนึ่งชั่วโมงแล้ว ยังไม่พ้นเขตนี้เสียที ส่วนหนึ่งนั่นเพราะความล้าที่เริ่มสะสมมาเรื่อยๆ แต่เมื่อจิตใจมุ่งมันจะไปต่อ เส้นทางเส้นนี้ผมจึงชนะมันไปได้ กระทั่งเข้าตัวอำเภอชุมแพราวๆตีสี่ ซึ่งจากนี้ไปจะใช้ถนนสายมะลิวรรณ ซึ่งตั้งชื่อเพื่อให้เกียรตินายช่างผู้บุกเบิกเส้นทางสายนี้มาตั้งแต่ปี 2493 และแล้วการต่อสู้กับสภาพบีบคั้นจากการเดินทางก็จบลงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นไม่กี่ชั่วโมง

4

ผมทบทวนเหตุการณ์ความมืดที่พบเผชิญระหว่างเดินทาง แท้จริงแล้วอาจไม่ต้องถึงขั้นผีสางหรือมิติดำมืดพิศวงอะไรหรอก บางทีความน่ากลัวอยู่ที่มุมมอง สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นหากเปลี่ยนช่วงเวลาจากกลางคืนมาเป็นกลางวัน เส้นทางที่ผมท่องทะยานนั้นเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทิวทัศน์งามตา หลายๆคนให้ฉายาว่าเป็นเส้นทางโรแมนติกลอยฟ้า ชมหมอกหน้าฝน เรื่องราวผีคอมมิวนิสต์ที่ถูกปลุกในมโนสำนึกคงไม่เกิดขึ้นเลย อีกทั้งเรื่องเล่าแบบนี้อาจไม่เคยมีอยู่ในประวัติศาสตร์ส่วนตัว

มาจากทางสายเปลี่ยว: ผมถึงขอนแก่นและเลี้ยวเข้าที่พักช่วงหกโมงเช้า ก่อนนาฬิกาปลุกในมือถือจะดังบอกเวลาตื่นอีกครั้งราวแปดโมงครึ่ง แม้ยอมรับว่าไม่อยากตื่นนัก แต่นั่นแหละที่คนเราตื่นไม่ได้ตื่นเพราะเคารพเสียงนาฬิกาหรอก แต่เพราะเราเคารพเวลาที่คนอื่นนัดหมายไว้ต่างหาก

ระหว่างทางสายเปลี่ยว: การบรรยายที่มหาวิทยาลัยวันนั้นเป็นไปด้วยดี มีนักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์แลกเปลี่ยนความเห็นตลอดสองคลาสทั้งเช้าและบ่าย ทำให้บรรยากาศการบรรยายพิเศษวิชาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ไม่น่าง่วงจนเกินไป  ผมเสร็จธุระกับเพื่อนอาจารย์เจ้าของวิชาเกือบหกโมงเย็น หลังจากนั้นเราไปกินหมูกะทะกันที่ร้านยอดนิยมหลังมหาวิทยาลัย เพื่อนอาจารย์และมิตรสหายกวีหนุ่มของผมพยายามชักชวนให้อยู่ดื่มกินกันต่อและพักอีกคืน แต่ต้องปฏิเสธไปเพราะไกลไปอีก 400 กิโลเมตร คนรักของผม เธอก็อยากให้รีบกลับด้วยอยากพบเร็วๆหลังหายหน้าไปจากการเดินทางขึ้นเหนือ นั่นทำให้ผมนึกถึงอีกความรับผิดชอบในความสัมพันธ์ที่ต้องรักษาไว้  หลังแวะส่งเพื่อนกวีหนุ่มที่ บขส.แห่งที่ 3 จังหวัดขอนแก่น เพื่อให้เขากลับจังหวัดร้อยเอ็ดบ้านเกิด ผมขับออกไปตามถนนที่จะพากลับบ้าน ...

สุดเส้นทางสายเปลี่ยว: ราวสองทุ่มเศษๆ ของวันหนึ่งคุณอาจพบรายงานอุบัติเหตุบนถนนสายมิตรภาพระหว่างทางเข้าอำเภอพลจังหวัดขอนแก่น รถเก๋งมิตซูบิชิป้ายทะเบียนกรุงเทพมหานครประสานเข้ากับเสาไฟบริเวณเกาะกลางถนน คาดว่าผู้เสียชีวิตเกิดอาการหลับในระหว่างขับขี่ เท่าที่ทราบหลักฐานที่พอระบุตัวบุคคลได้คือ เอกสารประกอบการสอนหัวข้อเรื่อง สหายชาวบ้านกับขบวนการคอมมิวนิสต์ในภาคอีสานของประเทศไทย  

 




ที่มาภาพประกอบ: StockSnap (CC0 Public Domain)

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: