ปี 2563 พบเด็กเล่นเกมเกิน 10 ชม./วัน สูงถึง 30%

กองบรรณาธิการ TCIJ 4 ต.ค. 2563 | อ่านแล้ว 3076 ครั้ง

ปี 2563 พบเด็กเล่นเกมเกิน 10 ชม./วัน สูงถึง 30%

ผลสำรวจสถานการณ์เด็กกับภัยออนไลน์ ประจำปี 2563 พบเด็กเล่นเกมเกิน 10 ชม.ต่อวันสูงถึง 30% แต่ส่วนใหญ่เข้าถึงเนื้อหาความรุนแรง การพนัน สื่อลามก

เว็บไซต์ไทยโพสต์ รายงานเมื่อช่วงเดือน ก.ย. 2563 ว่ามูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) ร่วมกับ สมาคมวิทยุและสื่อเพื่อเด็กและเยาวชน (สสดย.) และเครือข่าย อาทิ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย กรมกิจการเด็กและเยาวชน สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดเวทีนโยบายสาธารณะ ชวน 32 องค์กรภาคี ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และเครือข่ายเด็กและเยาวชน ร่วม “ประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือเพื่อการปกป้องเด็กและเยาวชนจากภัยออนไลน์” พร้อมวางแนวทางความร่วมมือในการปกป้องเด็กและเยาวชนจากภัยออนไลน์ ที่นำไปสู่การขยายผลในการป้องกันและลดผลกระทบจากภัยออนไลน์อย่างเป็นระบบ โดยได้รับเกียรติจาก นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวปาฐกถาพิเศษ “สื่อโลกดิจิทัล กับโอกาสสร้างสรรค์เด็กและเยาวชนไทย”

นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันภัยออนไลน์คุกคามเด็กและเยาวชนอย่างรุนแรงและกว้างขวาง กระทรวงดีอีเอสได้ออกแบบและสร้างกลไกการป้องกันภัยคุกคามทางออนไลน์ในทุกพื้นที่ รวมถึงเฝ้าระวังและระงับข้อมูลคอมพิวเตอร์และเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม มีการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ทั้งยังมีโครงการรณรงค์การหยุดกลั่นแกล้งออนไลน์ ฯลฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็กและเยาวชนในโลกดิจิทัล แต่ไม่สามารถทำสำเร็จได้ด้วยเพียงหน่วยงานเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ฉะนั้น การจัดเวทีนโยบายสาธารณะประกาศเจตนารมณ์ในครั้งนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ที่จะช่วยกันผสานแนวคิด เป็นเครือข่ายความร่วมมือที่มีพันธกิจในการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากภัยออนไลน์

“ทุกวันนี้เด็ก 80 เปอร์เซ็นต์ รู้ว่าระบบออนไลน์นั้นใช้ประโยชน์ได้ดี มีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ ที่ใช้ไปในทางไม่ดี และเด็กไทยทุกคนสามารถคิดได้ด้วยตัวเอง เพียงแต่วันนี้เราปลูกฝังให้พวกเขาเป็นคนคิดหรือยัง และทางแก้ไขปัญหาภัยออนไลน์ในเด็กและเยาวชน ต้องให้เด็กมาร่วมคิดร่วมทำ เราห้ามเขาไม่ได้ เพราะยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ จึงต้องดึงให้เขามามีส่วนร่วมกับเรา ต้องเอาเพื่อนเขาๆ มาคิดมาเป็นเครือข่ายกับเรา” รมว.ดีอีเอส กล่าว

ด้าน นายประวิทย์ นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ( กสทช.) กล่าวว่า จากการทำงานร่วมมือขององศ์กรภาคีเครือข่ายพบว่า เด็กและเยาวชนยังขาดความรู้เท่าทันและมีความเสี่ยงสูงจากภัยสื่อออนไลน์ และประเด็นปัญหาสำคัญที่พบ เช่น การถูกกลั่นแกล้งทางออนไลน์ การถูกคุกคามทางออนไลน์ การติดต่อสื่อสารเรื่องเพศที่ไม่เหมาะสม การถูกแบล็คเมล์ทางเพศ และการถูกล่อลวงทางเพศ เป็นต้น ซึ่งทุกปัญหาล้วนส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนในระยะยาว และภัยโลกออนไลน์ยังหล่อหลอมทัศนคติของเด็กและเยาวชนไปในทางที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ได้ ถ้าเรามีจัดการให้เด็กและเยาวชนเดินสู่เส้นทางการใช้โลกออนไลน์ที่เหมาะสม เราก็จะได้อนาคตของชาติที่ดี และเป็นกำลังลังสำคัญของประเทศ

“ช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา หลายภาคส่วนได้ดำเนินการปกป้องเด็กและเยาวชนจากภัยออนไลน์ ทั้งในการขับเคลื่อนงานผ่านยุทธศาสตร์ส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ ปี2560 – 2564 ผ่านการจัดทำแผนปฏิบัติการ การติดตามและประเมินผลตามตัวชี้วัด สิ่งสำคัญคือการมีพื้นที่ปฏิบัติงานจริง ทำให้เห็นภาพการทำงานที่เชื่อมโยงจากระดับนโยบายสู่พื้นที่การปฏิบัติงาน มีการร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน สำหรับสิ่งที่ท้าทายการทำงานในอนาคต เห็นว่าจะต้องให้ความสำคัญต่อการสร้างความรู้ ความเท่าทันต่อสื่อออนไลน์ และพัฒนากลไกให้มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงเครือข่ายให้เป็นระบบปกป้องและคุ้มครองเด็กและเยาวชนได้อย่างแท้จริง” กรรมการ กสทช. กล่าว

นายพงศ์ธร จันทรัศมี ผู้จัดการโครงการมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) กล่าวว่า ปัญหาสื่อออนไลน์ในช่วงหลัง มีผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนอย่างมาก โดยเฉพาะในมิติด้านสุขภาพ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศในระยะยาว ดังนั้น นอกจากการเสริมศักยภาพกลไกในพื้นที่เพื่อแก้ปัญหา ผ่านการสนับสนุนองค์ความรู้และงบประมาณแล้ว มสช.จึงร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดเวทีนโยบายสาธารณะในครั้งนี้ขึ้น เพื่อต้องการสร้างความตระหนักอย่างจริงจังให้เกิดขึ้นในสังคม พร้อมทั้งเชื่อมร้อยเครือข่ายพันธมิตร ผลักดันให้เป็นวาระสำคัญของทุกองค์กร

ภายในงาน ดร.ศรีดา ตันทะอธิพานิช มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนา ได้เผยผลสำรวจสถานการณ์เด็กกับภัยออนไลน์ ประจำปี 2563 ซึ่งร่วมกับ ศูนย์ประสานงานส่งเสริมการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ (ศปอ.) หรือ โคแพท (COPAT) โดยได้รับความอนุเคราะห์จาก สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เก็บข้อมูลระหว่าง พ.ค.-ก.ค. 2563 พบว่า กลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นเด็กมัธยมศึกษา อายุ 12-18 ปี จำนวน 14,945 คน มีอิสระในการใช้สื่อออนไลน์ค่อนข้างมาก และเด็กร้อยละ 89 เชื่อว่าในโลกออนไลน์มีภัยอันตรายหรือความเสี่ยงต่างๆ ส่วนอีกร้อยละ 61 เชื่อว่าหากเผชิญภัยอันตรายดังกล่าวจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง ในประเด็นนี้ถือว่าน่าเป็นห่วง นอกจากนี้ผลสำรวจยังพบด้วยว่า เว็บไซต์หรือเนื้อหาที่ผิดกฎหมายเป็นอันตรายที่เด็กเข้าถึงมากที่สุด 4 อันดับแรกคือ ความรุนแรง ร้อยละ 49 การพนัน ร้อยละ 22 สื่อลามกอนาจาร ร้อยละ 20 และ สารเสพติด ร้อยละ 16

ส่วนพฤติกรรมเสี่ยงภัยออนไลน์ 6 อันดับแรกของเยาวชน คือ 1.ซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ที่ไม่รู้จัก ร้อยละ 44 2.รับคนแปลกหน้าเป็นเพื่อน ร้อยละ 39 3.ใส่ข้อมูลตัวตนบนสื่อโซเชียลมีเดีย ร้อยละ 26 4.แชร์ข้อมูลโดยไม่ได้ตรวจสอบ และ 5.นำข้อมูลมาใช้โดยไม่รับอนุญาตหรืออ้างอิงแหล่งที่มา ร้อยละ 24 เท่ากัน และ 6. เข้าถึงสื่อลามก ร้อยละ 14 โดยในส่วนของสื่อลามก มีเด็กถึง 641 คน บันทึกและดาวน์โหลดสื่อลามกอนาจารเด็ก (ต่ำกว่า 18 ปี) มาไว้ในอุปกรณ์ไอทีหรือพื้นที่ส่วนตัวบนอินเทอร์เน็ต ขณะที่อีกร้อยละ 45 มีการส่งต่อหรือแบ่งปันสื่อลามกอนาจารเด็กที่ได้มากับเพื่อนและสังคมออนไลน์

ดร.ศรีดา กล่าวต่อถึงผลการสำรวจการเล่นเกมออนไลน์ของเยาวชน พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ทำการสำรวจ มีเด็กมากถึง 11,384 คน ที่เล่นเกมออนไลน์ โดยเล่น 1-2 ชั่วโมงต่อวัน ร้อยละ 26 เล่น 3-10 ชั่วโมงต่อวัน ร้อยละ 30 เล่นมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน มีร้อยละ 5 และแจ้งว่ามีการพนันในเกมที่เล่น ร้อยละ 10 ส่วนเติมเงินซื้อของในเกม มีร้อยละ 34 โดยในจำนวนนี้ราวร้อยละ 7 มีการเติมเงินเดือนละ 201-500 บาท ขณะที่ผลของการเล่นเกมออนไลน์ทำให้เยาวชนไทย สนใจทำกิจกรรมอย่างอื่นน้อยลงมาก ร้อยละ 43 การเรียนแย่ลงมาก ร้อยละ 20 และ คววามสัมพันธ์กับคนในครอบครัวแย่ลงมาก ร้อยละ 13

“ปัจจุบันเยาวชนไทย ร้อยละ 26 ใช้อินเทอร์เน็ตวันละ 3-5 ชั่วโมง มีจำนวนพอๆ กับกลุ่มที่ใช้วันละ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน และมีเยาวชน ร้อยละ 15 ใช้อินเทอร์เน็ตวันละ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนอีกร้อยละ 22 ใช้อินเทอร์เน็ตต่อวันมากกว่า 10 ชั่วโมง ซึ่ง ร้อยละ 81 ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟน และวัตถุประสงค์ที่เยาวชนใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือเพื่อพักผ่อนหรือความบันเทิง ร้อยละ 61” ดร.ศรีดา ให้ข้อมูลเพิ่มและกล่าวว่า ผลการสำรวจทำให้เห็นว่า เด็กมีความเชื่อและพฤติกรรมออนไลน์ที่สุ่มเสี่ยง อาจนำภัยมาถึงตัวได้ ภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรนำข้อมูลเหล่านี้ไปประกอบการกำหนดนโยบาย และวางแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้เกิดมาตรการ เครื่องมือ กลไก ที่จะช่วยเหลือเด็กจากภัยออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ดร.ธีรารัตน์ นายกสมาคมวิทยุและสื่อเพื่อเด็กและเยาวชน (สสดย.) กล่าวว่า ปัจจุบันเด็กและเยาวชนจำนวนมากกำลังได้รับผลกระทบจากภัยออนไลน์ ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และสติปัญญา ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาอีกมาก ดังนั้น เวทีการประกาศเจตนารมณ์ครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนปลอดภัยจากสื่อออนไลน์ เป็นครั้งแรกที่องค์กรต่างๆ ในสังคมจะมาร่วมขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาให้ครบทุกมิติ

นายธนวัฒน์ พรหมโชติ รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตัวเด็กและเยาวชนเองคือคนที่รู้ปัญหาที่ดีที่สุด ทั้งเจอปัญหา รู้สถานการณ์ และสามารถทบทวนแนวทางแก้ไขด้วยตัวเอง เพราะต้องหาหนทางเอาตัวรอดให้ได้ ซึ่งการจะเอาความคิดของเด็กมาช่วยแก้ไขปัญหา มาเป็นเครื่องมือให้กับหน่วยงานต่างๆ ต้องให้ความสำคัญกับเยาวชนเข้าร่วมคิดร่วมทำตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ ในลักษณะเด็กคิด เด็กทำ เด็กนำ ผู้ใหญ่หนุน เพื่อให้เยาวชนอยากเดินหน้าและส่งต่อสิ่งดีๆ กับเพื่อนเยาวชนและสังคมสืบไป ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นไปได้แบบนี้จะทำให้การแก้ปัญหาภัยออนไลน์ในเด็กและเยาวชนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: