เสนอตั้งคณะทำงานตรวจสอบการลงทุนกองทุนประกันสังคม

กองบรรณาธิการ TCIJ 6 ต.ค. 2563 | อ่านแล้ว 4806 ครั้ง

เสนอตั้งคณะทำงานตรวจสอบการลงทุนกองทุนประกันสังคม

นักวิชาการเสนอตั้งคณะทำงานตรวจสอบการลงทุนในบริษัท ศรีพันวา และบริษัทอื่น ๆ ที่ขาดทุนมากกว่าเกณฑ์ผลตอบแทนในตลาดการเงินมาก ๆ เพื่อปกป้องความยั่งยืนทางการเงินของกองทุนประกันสังคม

เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2563 สถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม ร่วมกับเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลได้จัดงานสัมมนาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในกลุ่มผู้นำแรงงาน และผู้ประกันตน ขึ้นทื่ห้องประชุม อนุสรณ์สถานวีรชน 14 ตุลาคม

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อนุกรรมการกลั่นกรองกฎหมาย การกำหนดอัตราเงินสมทบ และการพัฒนาสิทธิประโยชน์ สำนักงานประกันสังคม และอดีตรองอธิการบดีฝ่ายวิจัยฯ ม. รังสิต ได้บรรยายในงานเสวนา “ฟังเสียงเจ้าของเงิน ประชาชนต้องมีสิทธิบริหารประกันสังคม” ว่า ขณะนี้มีผู้ประกันตนจำนวนไม่น้อยเกิดความวิตกต่อเงินสมทบของตนเองในกองทุนประกันสังคม หลังจากปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีการนำเงินกองทุนประกันสังคมไปลงทุนในบริษัทศรีพันวาในสัดส่วนที่สูงและบริษัทประสบการขาดทุนมาก จึงขอเสนอให้มีการจัดตั้ง คณะทำงานในการเข้าไปตรวจสอบการลงทุนดังกล่าวด้วย และ คณะทำงานชุดนี้ควรตรวจสอบบริษัทอื่นๆที่ประกันสังคมลงทุนแล้วประสบการขาดทุนมากกว่าเกณฑ์ผลตอบแทนในตลาดการเงินมากๆเพื่อปกป้องความยั่งยืนทางการเงินของกองทุนประกันสังคม และผู้ประกันตนและนายจ้างจะได้เกิดความสบายใจว่า เงินที่ได้จ่ายสมทบมาจะได้รับการบริหารเงินทุนด้วยความระมัดระวัง โปร่งใส และ ยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารกองทุนขนาดใหญ่

แม้นผลการดำเนินงานของการบริหารเงินลงทุนของกองทุนประกันสังคมมีค่าเฉลี่ยดีกว่าเกณฑ์ผลตอบแทนของตลาดสำหรับกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนและข้อกำหนดในการลงทุนแบบเดียวกันมาอย่างต่อเนื่อง แต่การทบทวนนโยบายการลงทุนและประเมินผลบรรดาผู้จัดการลงทุนที่กองทุนประกันสังคมอย่างสม่ำเสมอมีความสำคัญอย่างมากในช่วงตลาดการเงินผันผวนและเกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม กองทุนประกันสังคมควรศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการปรับเปลี่ยนกองทุนประกันสังคมจากหน่วยราชการมาเป็น องค์กรอิสระที่เป็นองค์กรรัฐที่ไม่ใช่ราชการแบบ กลต ตลาดหลักทรัพย์ หรือ องค์กรแบบธนาคารแห่งประเทศไทย ส่วนการได้มาซึ่งกรรมการกองทุนประกันสังคมจำนวนหนึ่งควรมาจากการเลือกตั้งของลูกจ้างผู้ประกันตนและนายจ้างโดยตรง ซึ่งทางสำนักประกันสังคมได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ไว้แล้วโดยการตั้งเป็น อนุกรรมการยกร่างระเบียบกระทรวงแรงงานว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและฝ่ายผู้ประกันตนเป็นกรรมการในคณะกรรมการการประกันสังคม และการศึกษาได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้วอยู่ที่ระดับนโยบายว่าจะตัดสินใจอย่างไรเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาทางอนุกรรมการกลั่นกรองกฎหมาย การกำหนดอัตราเงินสมทบ และ การพัฒนาสิทธิประโยชน์ได้มีการเสนอให้มีเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านต่างๆมาอย่างต่อเนื่องโดยคำนึงความยั่งยืนทางการเงินควบคู่ไปด้วย เช่น การพัฒนาสิทธิประโยชน์ชราภาพ การเพิ่มสิทธิประโยชน์ประกันการว่างงาน การขยายระยะเวลาการได้รับประโยชน์ทดแทน กรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย การลดเงินสมทบช่วง Covid-19 การเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีทันตกรรม การเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีประสบอันตรายหรอืเจ็บป่วยมาตรา 40 การเพิ่มสิทธิประโยชน์และการออมเงินโดยสมัครใจมาตรา 33 และ 39 เป็นต้น โดยรวมแล้วการดำเนินการที่ผ่านเป็นการเพิ่มสวัสดิการและลดเงินสมทบให้กับผู้ประกับตนมากขึ้น ฉะนั้นจึงมีเงินไหลออกจากเงินกองทุนมากกว่าเงินไหลเข้า ด้านเงินไหลเข้านั้น กองทุนประกันสังคมก็ได้ขยายฐานสมาชิกเพิ่มขึ้น และ ตนเห็นว่า กองทุนประกันควรขยายฐานในเชิงรุกมากกว่านี้ไปยังกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบอาชีพอิสระเพื่อให้คนกลุ่มนี้ได้รับความคุ้มครองด้านสวัสดิการพื้นฐานในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจและนอกจากนี้ยังมีเงินไหลเข้ากองทุนจากการจ่ายเงินสมทบอีกด้วย

สถานการณ์เศรษฐกิจที่หดตัวอย่างรุนแรงทั้งภายในประเทศและต่างประเทศทำให้เกิดสถานการณ์ทะยอยเลิกจ้างอย่างต่อเนื่องในธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆ โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกิจการต่อเนื่อง ธุรกิจสายการบิน ธุรกิจสื่อสารมวลชน ธุรกิจยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์ ธุรกิจชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ ธุรกิจบันเทิงและจัดงาน Event ต่างๆ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจการเงิน กิจการอุดมศึกษาเอกชน เป็นต้น คาดว่าอัตราการว่างงานอาจขึ้นแตะระดับ 10% (คิดเป็นประมาณ 3.81 ล้านคน) ของกำลังแรงงานและอาจทำให้มีคนว่างงานหรือทำงานไม่เต็มเวลา ว่างงานแฝงและทำงานต่ำระดับเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 ล้านคน เงินจากกองทุนประกันการว่างงานจะไหลออกมากกว่าภาวะปรกติมาก ขณะเดียวกันภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงานและบอร์ดกองทุนประกันก็ได้ลดอัตราการจ่ายสมทบ หากภาวะดังกล่าวจะคงดำรงอยู่ต่อเนื่องไปอีก 3-4 ปี เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวบ้างแล้ว มีความจำเป็นต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่มเพื่อให้มีเงินดูแลสวัสดิการต่างๆให้กับผู้ประกันตนได้อย่างเพียงพอ สถานะของเงินกองทุนประกันสังคมยังคงมั่นคงแต่ต้องปฏิรูปเพื่อให้กองทุนชราภาพมีความยั่งยืนในระยะ 50 ปีข้างหน้าด้วยการเก็บเงินสมทบเพิ่มเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว

ขบวนการแรงงานต้องมีความเป็นเอกภาพและเข้มแข็งเพื่อช่วงบรรเทาความลำบากทุกข์ยากของพี่น้องผู้ใช้แรงงาน และ ควรมีส่วนร่วมในการเข้าไปมีบทบาทในใช้งบประมาณเพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนที่ถูกเลิกจ้างและดำเนินโครงการ Reskill/Upskill เพื่อพัฒนาทักษะและเพิ่มผลิตภาพของแรงงานไทย

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า มีแรงงานจบใหม่ทะยอยเข้าสู่ตลาดตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมาประมาณ 5-6 แสนคน ซึ่งประมาณ 50-60% ไม่น่าจะมีตำแหน่งงานรองรับ แรงงานจบใหม่จำนวนหนึ่งยังจำเป็นต้องมีปรับทักษะเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของธุรกิจ รัฐบาลอาจจำเป็นต้องทบทวนการเปิดเสรีตลาดแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านและจำกัดการนำเข้าแรงงานต่างด้าวมากขึ้น และ ควรเพิ่มงบประมาณในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อให้ชะลอการเลิกจ้าง และ จ่ายเงินอุดหนุนค่าจ้างให้กับธุรกิจอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 อย่างรุนแรงเป็นกรณีพิเศษ

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: