เผยเตรียมลดปริมาณสำรองไฟฟ้าในระยะสั้นปี 2564-2568

กองบรรณาธิการ TCIJ 7 ธ.ค. 2563 | อ่านแล้ว 4743 ครั้ง

เผยเตรียมลดปริมาณสำรองไฟฟ้าในระยะสั้นปี 2564-2568

สื่อ Energy News Center เผย ก.พลังงานเตรียมตั้งคณะทำงานพิจารณาแนวทางลดปริมาณสำรองไฟฟ้าที่ล้นระบบในระยะสั้นปี 2564-2568 ที่เป็นภาระต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน | ที่มาภาพประกอบ: Daniel X. O'Neil (CC 2.0)

เมื่อช่วงปลายเดือน พ.ย. 2563 Energy News Center รายงานอ้างแหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน ระบุว่าคณะทำงานพิจารณาแนวทางลดปริมาณสำรองไฟฟ้า จะมีตัวแทนทั้งจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งตั้งโดยคำสั่ง ของนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน โดยทำงานภายใต้คณะอนุกรรมการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า ที่จะจัดทำโหลดความต้องการใช้ไฟฟ้าในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศฉบับใหม่หรือ PDP 2022

โดยคณะทำงานจะมีการพิจาณาความเป็นไปได้ในทุกแนวทางที่จะลดปริมาณสำรองไฟฟ้าในระยะสั้น ตั้งแต่ปี 2564-2568 ที่อยู่ในระดับใกล้ 50% ลง ซึ่งเมื่อได้ข้อสรุปก็จะนำเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ

แหล่งข่าวกล่าวว่าปริมาณสำรองไฟฟ้าที่อยู่ในระดับสูงเกือบ 50% เกิดจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ โดยเฉพาะในปี 2563 ที่ไทยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจจากวิกฤติโควิด-19 ซึ่งทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลง กว่า 4,000 เมกะวัตต์ (แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า หรือ PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเดือน ต.ค.2563 ที่ผ่านมา มีข้อมูลคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด(พีค) ปี 2563 อยู่ที่ 32,732 เมกะวัตต์ แต่พีคไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงเมื่อเดือน มี.ค. 2563 อยู่ที่ 28,636 เมกะวัตต์ ในขณะที่โรงไฟฟ้าที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ซึ่งจะเข้าระบบปี 2563 จะมีมากถึง 51,943 เมกะวัตต์ จึงทำให้จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าเหลืออยู่ในระบบมากถึง 23,307 เมกะวัตต์) และคาดว่าต้องใช้เวลาอีก 1-2 ปีข้างหน้า ความต้องการใช้ไฟฟ้าจึงจะกลับมาอยู่ในระดับเดิม แต่กลับมีการสร้างโรงไฟฟ้าเผื่อเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ทำให้โรงไฟฟ้าส่วนหนึ่งที่มีประสิทธิภาพต่ำ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าเก่า ถูกสั่งให้หยุดเดินเครื่อง แต่ก็ยังได้รับค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment) ที่ถูกคำนวณรวมไว้ในโครงสร้างค่าไฟฟ้าที่เก็บกับประชาชน

แหล่งข่าวกล่าวว่าในแนวทางการลดปริมาณสำรองไฟฟ้า จะพิจารณาในส่วนของการเพิ่มดีมานด์ เช่น การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า (EV) และ การคมนาคมขนส่งรถไฟฟ้าสายต่างๆ ควบคู่กันไปกับการลดกำลังผลิตไฟฟ้าในระยะสั้นลง เช่น การยกเลิกหรือเลื่อนโครงการโรงไฟฟ้าที่ยังไม่มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าออกไป ,การเจรจาเพื่อปลดโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพต่ำออกจากระบบก่อนกำหนด หรือ Buy Out โดยหากมีความชัดเจนในแนวทาง กฟผ.ซึ่งเป็นคู่สัญญา จะต้องเป็นผู้เจรจา กับโรงไฟฟ้าไอพีพี ของบริษัทโกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC (โรงไฟฟ้า IPT เดิม) ขนาดกำลังการผลิต 700 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง มีสถานที่ตั้งอยู่ที่อ่าวไผ่ จ.ชลบุรี ที่เดินเครื่องเข้าระบบมาตั้งแต่ปี 2543 และจะสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในปี 2568 และอีกโรงคือของบริษัทอีสเทอร์นพาวเวอร์แอนด์อิเล็คทริค จำกัด (EPEC) กำลังการผลิต 350 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง มีสถานที่ตั้งอยู่ที่ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ

ส่วนอีกแนวทางคือ การปรับลดปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก จากเดิมสมัยนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กำหนดในแผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก รวมตลอดทั้งแผน ประมาณ 1,933 เมกะวัตต์ โดยรับซื้อเพื่อเข้าระบบในปี 2563 จำนวน 700 เมกะวัตต์ แต่ให้มีโครงการนำร่องก่อน 150 เมกะวัตต์ เข้าระบบในปี 2566 ก่อน

ทั้งนี้หากไม่มีการดำเนินการใดๆ ปัญหาสำรองไฟฟ้าที่ล้นระบบจะเป็นภาระต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าอย่างมาก เพราะจะมีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่โรงใหม่ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับทาง กฟผ. จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบตามแผนอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2564 จะมีโรงไฟฟ้าของกัลฟ์เอสอาร์ซี ชุดที่ 1 กำลังการผลิตรวม 1,250 เมกะวัตต์ เข้าระบบ ปี 2565 จะมีโรงไฟฟ้าของกัลฟ์เอสอาร์ซี ชุดที่ 2 กำลังการผลิตรวม 1,250 เมกะวัตต์เข้าระบบปี 2566 จะมีโรงไฟฟ้าของกัลฟ์พีดี ชุดที่ 1 กำลังการผลิตรวม 1,250 เมกะวัตต์เข้าระบบ ปี 2567 จะมีโรงไฟฟ้าของกัลฟ์พีดี ชุดที่ 1 กำลังการผลิตรวม 1,250 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าหินกองชุดที่ 1 กำลังการผลิต 700 เมกะวัตต์ เข้าระบบ และปี 2568 จะมีโรงไฟฟ้าหินกองชุดที่ 2 กำลังการผลิต 700 เมกะวัตต์ เข้าระบบ

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: