8 พ.ค. 2563 ศบค. แถลงไทยพบผู้ติดเชื้อใหม่ 8 คน รวมผู้ติดเชื้อสะสม 3,000 คน ไม่มีผู้เสียชีวิต รวมผู้เสียชีวิตสะสม 55 คน รักษาหาย 12 คน รวมรักษาหายสะสม 2,784 คน ยืนยันยังไม่ถอน 'จีน-เกาหลีใต้' ออกจากประเทศเขตโรคติดต่อ ระบุต้องผ่านมติ กก.โรคติดต่อแห่งชาติ ลั่นมาตรการคัดกรองต้องเข้มเหมือนเดิม
8 พ.ค.2563 Thai PBS รายงานว่า นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงข่าวสถานการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 ว่ามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเพียง 8 คน ผู้ป่วยสะสม 3,000 คนหายป่วยกลับบ้านเพิ่มอีก 244 คนรวมหายป่วยกลับบ้านแล้ว 2,784 คน เสียชีวิตสะสม 55 คน เหลือในโรงพยาบาล 161 คน
สำหรับผู้ป่วยทั้ง 8 คน มาจากการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกและผู้ติดเชื้อในชุมชน โดย 3 คนแรกมาจากการค้นหาเชิงรุก เป็นชายไทยทั้งหมดอายุ 45 ปี 1 คน และประวัติสัมผัสยืนยันกลับคนที่เดินทางกลับจากมาเลเซีย และ 51 ปี 2 คนในจ.ยะลา ส่วนอีก 5 คนเป็นแรงงานข้ามชาติอายุ 19-30 ปีที่ศูนย์ต้องกัก จ.สงขลา
เพิ่มเกณฑ์ PUI ไม่ได้กลิ่นตรวจฟรี
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า ขณะที่การตรวจค้นหาผู้ป่วยเข้าเกณฑ์ PUI ตอนนี้มีการปรับเกณฑ์เพิ่มเติม นอกจากอาการไอ น้ำมูก เจ็บคอ ผู้ป่วยปอดอักเสบ ยังเพิ่มข้อที่ 4 คือไม่ได้กลิ่นให้ตรวจหาเชื้อ COVID-19 ฟรี ทั้งนี้ เป็นการขยายอาการเพื่อให้เข้ามารับการตรวจมากขึ้น รวมทั้งมีประวัติเสี่ยง เช่น การเดินทางหรือมาจากประเทศเสี่ยง หรืออาศัยในพื้นที่เกิดโรค ไปในสถานที่ชุมชน แออัด ประกอบอาชีพเสี่ยง
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สถานการณ์โลกขณะนี้มีผู้ติดเชื้อรวม 3,900,000 คน และคาดว่าจะแตะ 4 ล้านคนในเร็วๆนี้ โดยมีผู้ป่วยอาการหนัก 48,000 คน เสียชีวิต 270,711 คน สหรัฐอเมริกา อันดับแรก สเปน อิตาลี อังกฤษ ส่วนไทยอยู่ในลำดับ 64 ส่วนกลุ่มอาเซียน อินเดียมีผู้ติดเชื้อ 56,031 คน ปากีสถาน 24,000 คน สิงคโปร์ 20,000 คน อินโดนีเซีย 15,000 คน เกาหลีใต้ 12,000 คนส่วนไทยรวม 3,000 คนในวันนี้
ขณะที่มีการรายงานข่าวว่า นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการแห่งชาติ ลอส อลาโมส สหรัฐฯ พบว่าไวรัสโคโรนา ที่อุบัติขึ้นที่เมืองอู่ฮั่น ของจีน การกลายพันธุ์ของสายพันธุ์ใหม่ ที่ติดต่อได้ไวขึ้น และกำลังระบาดในสหรัฐอเมริกา จนอาจจะมีการผลการพัฒนาวัคซีน
ยังไม่ถอดจีน-เกาหลีใต้ ออกประเทศเขตโรคติดต่อ
ส่วนกรณีคำถามเรื่องความชัดเจนในการถอนประเทศจีน และเกาหลีใต้ออกจากประเทศเขตโรคติดต่อ และถ้าชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยจะมั่นใจอย่างไรว่าประเทศไทยปลอดภัย นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า การเสนอถอนการพิจารณายังไม่เสร็จ แต่เป็นเพียงข้อเสนอของนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุขเท่านั้น แต่ยังมีขั้นตอนในการประชุมปรึกษา และนำเข้าคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เพื่อนำรายชื่อของแต่ละประเทศเข้ามาพิจารณาจะให้เข้าหรือออก
ส่วนความกังวลที่ว่า หากถอนรายชื่อออก จะทำให้คนจีนเข้ามา และจะเกิดการแพร่ระบาดอีกหรือไม่นั้น นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจเพราะขณะนี้ไทยยังมีมาตรการในการจำกัดเที่ยวบิน ยังไม่เปิดให้เครื่องบินโดยสารทั่วไปเดินทางเข้าประเทศ และข้อสำคัญคือ กระบวนการ Fit to Fly ต้องตรวจสุขภาพก่อนเดินทาง และหากเข้ามาต้องถูกกักกัน ต้องเจอกฎระเบียบต่างๆ เชื่อว่า ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมที่นักท่องเที่ยวจะเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยเหมือนปกติ
“ประชาชนไม่ต้องกังวล เพราะไม่มีการเดินทางแบบเสรี ในช่วงเวลานี้ ขอให้มีความมั่นใจได้”
สำหรับการค้นหาผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ทางอธิบดีกรมควบคุมโรค กำชับการค้นหากลุ่มเสี่ยง รวม 6 กลุ่ม บุคลากรการแพทย์ ผู้ต้องกัก คนขับรถสาธารณะ พนักงานไปรษณีย์และคนส่งของ คนต่างด้าวและอาชีพเสียง เช่นในสถานบันเทิง มีประมาณ 85,000 คนที่ต้องหารูปแบบการเข้าถึงในการตวจหาเชื้อ
8 กิจการผ่อนปรนหากไม่ปฏิบัติสั่งปิดแต่เปิดใหมได้
โฆษกศบค.กล่าวว่า สำหรับผลการตรวจ 8 ประเภทกิจการและสถานที่ผ่อนปรนในระยแรก ของวันที่ 7 พ.ค.จากทั้งหมด 15,414 แห่ง พบว่าไม่ปฏิบัติตามมาตรการ 421 แห่ง ปฏิบัติตาม 14,933 แห่ง และถ้าแยกตามประเภทร้านอาหารอันดับ 1 ที่ไม่ปฎิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังโรค เช่น ตรวจวัดไข้ แยกผู้ป่วย สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง มีจุดวางเจลล้างมือ งดการรวมตัวกัน
“2 วันที่ตรวจทั้งหมด 5,543 แห่ง ไม่ปฎิบัติตาม 156 แห่งหรือคิดเป็น 2.8% ส่วนซูเปอร์มาเก็ต 625 แห่ง ไม่ไม่ปฎิบัติตาม 17 แห่ง หรือ 2.7% ตลาด 4,558 แห่ง ไม่ปฏิบัติตามมาตรการ 145 หรือ 3.2%”
กรณีการตรวจ 8 กิจการที่ผ่อนปรนแล้วที่ไม่ปฎิบัติตาม เน้นเรื่องความปลอดภัยของโรคระบาด และถ้าไม่ทำตามก็ตักเตือนและสั่งปิดเพื่อให้ปรับปรุง และถ้าปรับเปลี่ยนแล้วก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมาเปิดใหม่ได้ ทั้งหมดเป็นการสร้างความเชื่อมั้นทั้งผู้ให้บริการ และคนมมารับบริการ
“สำหรับการผ่อนปรนระยะ 2 ขอย้ำว่าถ้าอยากเปิดพื้นที่มากขึ้นให้ช่วยกันทำทั้งมาตการหลักและมาตรการเสริมเพราะขึ้นกับคน 90% ที่ต้องช่วย”
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ