กระทรวงการคลังของอินโดนีเซียแถลงว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป รัฐบาลจะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 10% กับผลิตภัณฑ์ดิจิทัลทุกประเภทของบริษัทด้านเทคโนโลยีที่ไม่ได้จดทะเบียนในอินโดนีเซีย โดยจะหมายรวมถึงบริการ สตรีมมิง แอปพลิเคชั่น และเกมออนไลน์ เช่นเน็ตฟลิกซ์แ ละสปอทิฟาย ซึ่งเป็นบริษัท 2 ที่มีส่วนแบ่งด้านการตลาดมูลค่ามหาศาลในประเทศ อย่างไรก็ตามการแถลงดังกล่าวไม่ได้ระบุข้อตกลงที่เป็นเกณฑ์ของการจัดเก็บภาษีดิจิทัลอย่างละเอียด
ด้านองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Cooperation and Development; OECD) ซึ่งอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในสมาชิก กำลังจัดทำมาตรการเก็บภาษีดิจิทัลที่เป็นมาตรฐานเพื่อลดความได้เปรียบของบริษัทยักษ์ใหญ่ ทั้งเฟซบุ๊ก กูเกิ้ล แอปเปิ้ล ไมโครซอฟต์ และทวิตเตอร์ ซึ่งอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายดังกล่าว เข้าไปตั้งสำนักงานในประเทศเหล่านั้น เและเสียภาษีในอัตราต่ำเที่ยบเท่ากับบริษัทในประเทศ
ขณะที่นาง Mulyani Indrawati รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอินโดนีเซีย เผยเช่นกันว่าการจัดเก็บภาษีดิจิทัลหรือภาษีอินเทอร์เน็ต เป็นการปรับเปลี่ยนแนวการคลังของรัฐบาลให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของประชาชนที่เปลี่ยนไปท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ของภาครัฐลดลงมากกว่า 10% ในปีนี้ และการเติบโตทางเศรษฐกิจอาจลดลงกว่าครึ่ง จาก 5% เมื่อปีที่แล้ว ลงมาอยู่ที่ 2%
อย่างไรก็ตามกลุ่มบริษัทเทมาเส็กของสิงคโปร์ วิเคราะห์ว่าอินโดนีเซียซึ่งมีประชากรมากถึง 270 ล้านคน และเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน จะเป็นประเทศที่เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 130,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2025
ที่มาข่าวและภาพประกอบ: Reuters, 16/5/2020
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ