การใช้พลังงาน 6 เดือนแรกปี 2563 ลดฮวบ 10.1% เพราะ COVID-19

กองบรรณาธิการ TCIJ 21 ส.ค. 2563 | อ่านแล้ว 3904 ครั้ง

การใช้พลังงาน 6 เดือนแรกปี 2563 ลดฮวบ 10.1% เพราะ COVID-19

สนพ. เปิดเผยสถานการณ์พลังงานในช่วง 6 เดือนแรกปี 2563 พบภาพรวมการใช้พลังงานขั้นต้นลดลง 10.1% ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจาก COVID-19 ยอดใช้ไฟฟ้าตก 3.9% ปริมาณสำรองพุ่งเกิน 40% เล็งลดซื้อไฟจากโรงไฟฟ้าชุมชนเจรจาเลื่อน SPP | ที่มาภาพประกอบ: Energy News Center

Energy News Center รายงานเมื่อช่วงต้นเดือน ส.ค. 2563 ว่านายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) เปิดเผยถึงสถานการณ์พลังงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 พบว่า การใช้พลังงานขั้นต้นลดลงร้อยละ 10.1 จากการใช้น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติที่ลดลง เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ห่วงโซ่การดำเนินธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงาน และการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศหยุดชะงัก ในขณะที่ไฟฟ้านำเข้ามีการใช้เพิ่มขึ้นและพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

สำหรับสถานการณ์พลังงานรายเชื้อเพลิงในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 สรุปได้ดังนี้

– การใช้น้ำมันสำเร็จรูป ลดลงร้อยละ 12.6 โดยการใช้น้ำมันดีเซลลดลงร้อยละ 4.3 เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันในช่วงเวลาดังกล่าวลดลง อีกทั้ง การลดลงของผลผลิตสินค้าเกษตรเนื่องจากปัญหาภัยแล้ง จึงทำให้การขนส่งสินค้าลดลง การใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล ลดลงร้อยละ 7.1 ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ประเทศไทยต้องประกาศ พ.ร.ก. สถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด โดยภาครัฐได้ออกมาตรการที่มีการเว้นระยะห่างทางสังคม การทำงานที่บ้าน (Work From Home) และลดการเดินทางข้ามจังหวัด ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเบนซินลดลง การใช้น้ำมันเครื่องบิน ลดลงร้อยละ 48.6 เนื่องจากข้อจำกัดของการอนุญาตให้ทำการบินในช่วงของการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเครื่องบินลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ การใช้ LPG ลดลงเกือบทุกสาขา โดยเฉพาะการใช้ในภาคขนส่ง ลดลงร้อยละ 30.2 จากการปรับลดลงของราคาขายปลีกน้ำมันส่งผลให้ผู้ใช้รถยนต์ LPG บางส่วนหันมาใช้น้ำมันทดแทน ประกอบกับปริมาณรถยนต์ LPG ที่มีแนวโน้มลดลง การใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งมีสัดส่วนการใช้สูงสุดคิดเป็นร้อยละ 39 มีการใช้ลดลงร้อยละ 18.8 ส่วนภาคอุตสาหกรรม มีการใช้ลดลงร้อยละ 9.9 ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และภาคครัวเรือนมีการใช้ลดลงร้อยละ 5.9

– การใช้ก๊าซธรรมชาติ ลดลงร้อยละ 8.5 โดยลดลงทุกสาขาเศรษฐกิจ ทั้งการใช้เป็นวัตถุดิบ

ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี การใช้เพื่อผลิตไฟฟ้า การใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ด้านการใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ (NGV) ลดลงร้อยละ 28.8 เพราะผู้ใช้รถยนต์ NGV บางส่วนเปลี่ยนมาใช้น้ำมัน เนื่องจากราคาอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก อีกทั้งผลจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้การใช้ NGV ในการเดินทางลดลง

– การใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์ ลดลงร้อยละ 0.3 ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

– ด้านการใช้ไฟฟ้า ลดลงร้อยละ 3.9 โดยลดลงในเกือบทุกสาขา โดยเฉพาะสาขาอุตสาหกรรมและธุรกิจ จากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ และภาคการท่องเที่ยว โดยกลุ่มธุรกิจหลักที่มีการใช้ไฟฟ้าลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งมีผลมาจากมาตรการ Lock Down ได้แก่ โรงแรม และห้างสรรพสินค้า อย่างไรก็ตาม ภาคครัวเรือนมีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง และอุณหภูมิที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ประกอบกับมาตรการอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ และมาตรการทำงานที่บ้าน (Work From Home)

ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) ยังกล่าวถึงแนวโน้มการใช้พลังงานปี 2563 ซึ่ง สนพ. ได้มีการพยากรณ์โดยอ้างอิงสมมุติฐานด้านเศรษฐกิจ และนโยบายที่เกี่ยวข้องมาเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการใช้พลังงาน โดยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 สภาพัฒน์ฯ คาดว่าในปี 2563 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะมีการปรับตัวลดลงในช่วงร้อยละ (-5.0) – (-6.0) เนื่องจาก (1) การปรับตัวลดลงรุนแรงของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (2) การลดลงรุนแรงของจำนวน และรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ (3) เงื่อนไขข้อจำกัดที่เกิดจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมทั้ง (4) ปัญหาภัยแล้ง ซึ่งจากสมมุติฐานดังกล่าว จะส่งผลให้การใช้พลังงานขั้นต้นในปี 2563 ลดลงร้อยละ 5.3 ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยคาดการณ์ว่าการใช้พลังงานจะลดลงเกือบทุกประเภท โดยการใช้น้ำมันลดลงร้อยละ 14.2 การใช้ก๊าซธรรมชาติ ลดลงร้อยละ 5.4 การใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์ลดลงร้อยละ 1.0 ขณะที่การใช้พลังงานไฟฟ้าในปี 2563 คาดว่าจะลดลงร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน

ในกรณีที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ปรับตัวลดลงรุนแรงถึงร้อยละ (-9.0) – (-10.0) คาดว่าจะส่งผลให้การใช้พลังงานของประเทศลดลงร้อยละ 7.9 โดยการใช้น้ำมันเบนซินลดลงร้อยละ 6.3

การใช้น้ำมันดีเซล ลดลงร้อยละ 4.0 การใช้น้ำมันเครื่องบิน ลดลงร้อยละ 43.5 การใช้ LPG ลดลงร้อยละ 10.9 การใช้น้ำมันเตาลดลงร้อยละ 10.0 และการใช้ไฟฟ้าลดลงร้อยละ 3.0

อย่างไรก็ตาม สนพ. ยังคงจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และปัจจัยอื่นๆ ที่จะส่งผลต่อการใช้พลังงานของประเทศอย่างใกล้ชิด อาทิ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลก มาตรการในการป้องกัน โควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท กล่าวปิดท้าย

ยอดใช้ไฟฟ้าตก 3.9% ปริมาณสำรองพุ่งเกิน 40% เล็งลดซื้อไฟจากโรงไฟฟ้าชุมชนเจรจาเลื่อน SPP

Energy News Center รายงานเมื่อช่วงต้นเดือน ส.ค. 2563 อีกว่านายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่าปัจจุบันไทยผลิตไฟฟ้าได้ 50,300 เมกะวัตต์ แต่มียอดการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) ในปีนี้อยู่เพียงประมาณ 30,000 เมกะวัตต์ ส่งผลให้มีปริมาณไฟฟ้าเหลือประมาณ 20,000 เมกะวัตต์ หรือประมาณ 40% ของความต้องการใช้

ดังนั้น สนพ.เตรียมรายงานให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน คนใหม่ พิจารณา แนวทางปรับแก้ไขแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ใหม่ ใน 2 แนวทาง โดย 1.การดึงแผน PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่1 ที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) มาปรับแก้ก่อนนำกลับเข้าเสนอ ครม.ใหม่ หรือ 2.ให้แผน PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ผ่าน ครม.ไปก่อน แล้วจึงมาแก้ไขในรายละเอียดแทน

ทั้งนี้ส่วนตัวเห็นว่าควรให้ PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ผ่าน ครม.ไปก่อน เนื่องจากจะส่งผลดีให้เกิดเม็ดเงินลงทุนจาก 3 การไฟฟ้า(การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ,การไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน.และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ PEA) โดยเฉพาะการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) รวมถึงการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก 700 เมกะวัตต์ ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศได้

อย่างไรก็ตาม โดยปกติแผน PDP มีกำหนดต้องปรับปรุงทุก 3-5 ปี ซึ่งในปี 2564 จะครบกำหนดที่ต้องปรับแผน PDP อยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อ PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ผ่าน ครม.ได้ ก็จะต้องปรับแผนอีกครั้งเพื่อให้ปริมาณไฟฟ้าประเทศอยู่ในระดับเหมาะสม โดยอาจปรับแผนใหม่เป็น PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 หรือ ปรับใหม่เป็น PDP2020 ก็ได้

เบื้องต้นจะรายงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ เพื่อหารือแนวทางแก้ปัญหาสำรองไฟฟ้าล้นระบบ โดยปรับลดปริมาณการผลิตไฟฟ้าลง ด้วยการหารือเลื่อนการผลิตไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก(SPP)ออกไปก่อน และปรับลดโควต้าโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน 700 เมกะวัตต์ลง โดยลดในส่วนของโรงไฟฟ้าชุมชนกลุ่มทั่วไป 600 เมกะวัตต์ลง ส่วนในกลุ่มเร่งด่วน (Quick win) 100 เมกะวัตต์ให้คงไว้ นอกจากนี้อาจต้องนำไฟฟ้าส่วนเกินไปขายให้ประเทศเพื่อนบ้านแทน แต่ต้องหารือ กฟผ.ด้านโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าที่จะมารองรับด้วย เป็นต้น

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: