'ศูนย์วิจัยกสิกรไทย' เผย 'ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทย (KR-ECI)' ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่ต่างจังหวัดเดือน ม.ค. 2563 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 40.6 จากระดับ 42.4 ในเดือน ธ.ค. 2562 ซึ่งนับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 72 เดือน จากความกังวลของครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นในทุกมิติการครองชีพ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องรายได้และการมีงานทำของตนเอง
เมื่อช่วงเดือน ก.พ. 2563 สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) รายงานว่าศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่าดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทย (KR-ECI) ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่ต่างจังหวัดเดือนม.ค. 2563 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 40.6 จากระดับ 42.4 ในเดือน ธ.ค. 2562 ซึ่งนับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 72 เดือน จากความกังวลของครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นในทุกมิติการครองชีพ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องรายได้และการมีงานทำของตนเอง
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ทำการสำรวจเพิ่มเติมในประเด็นเรื่องสถานการณ์การจ้างงานในองค์กรที่ครัวเรือนสังกัดหรือเป็นเจ้าของ พบว่า 43.6% ของครัวเรือนไทยที่ทำการสำรวจในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลชี้ว่า องค์กรที่ตนเองสังกัดหรือเป็นเจ้าของมีการปรับตัวในด้านการจ้างงานท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการชะลอรับพนักงานใหม่ การลดเวลาทำงานล่วงเวลาของพนักงาน รวมถึงการเลิกจ้างที่ยังมีสัดส่วนสูงถึง 7.4% ของครัวเรือนที่ทำการสำรวจ สอดคล้องไปกับจำนวนโรงงานที่ขอปิดกิจการ (จำหน่ายทะเบียน) ในเดือน ม.ค. 2563 ซึ่งอยู่ที่ 222 โรงงาน เพิ่มสูงขึ้นถึง 63.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า จะเห็นว่าในเดือนม.ค.63 องค์กรที่ครัวเรือนสังกัดหรือเป็นเจ้าของมีการปรับตัวทางธุรกิจเพิ่มขึ้นอีก 5.2% เมื่อเทียบกับเดือนต.ค.62 ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงจำนวนการจ้างงานในประเทศที่น่าจะลดลงต่อเนื่องในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563
ขณะเดียวกัน ระดับราคาสินค้าและบริการในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในบางหมวดสินค้า ทยอยส่งผลกระทบมากขึ้นต่อการครองชีพของครัวเรือนไทยในเดือน ม.ค. 2563 โดยเฉพาะราคาสินค้าในหมวดอาหารสดที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.83% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลของหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นภาวะภัยแล้ง มีการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในต่างประเทศที่มีส่วนผลักดันราคาเนื้อสัตว์ในประเทศให้สูงขึ้น รวมไปถึงช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผลักดันราคาเป็ดไก่ให้สูงขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น
นอกจากราคาอาหารสดแล้ว ราคาเวชภัณฑ์ โดยเฉพาะหน้ากากอนามัยก็ปรับตัวสูงขึ้นมากในเดือนม.ค.63 หลังเกิดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV) และปัญหาเรื้อรังของฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและการดำเนินชีวิตของครัวเรือนไทย
ในขณะที่ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (3-month Expected KR-ECI) อยู่ที่ระดับ 40.5 ในการสำรวจช่วงเดือน ธ.ค. 2562 ทรุดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 42.2 โดยครัวเรือนมีความกังวลมากขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของตนเองในช่วง 3 เดือนข้างหน้า (ก.พ.-เม.ย. 2563) โดยเฉพาะประเด็นเรื่องระดับราคาสินค้าและบริการในประเทศที่ครัวเรือนมองว่าจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในระยะข้างหน้า หลังสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่สร้างความหวั่นวิตกให้แก่ครัวเรือน ซึ่งส่งผลให้สินค้าเวชภัณฑ์บางรายการหาซื้อตามท้องตลาดได้ยากและมีราคาแพงขึ้นมาก
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี จาก 1.25% เหลือ 1.00% ต่อปี ในการประชุม กนง. เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2563 ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่หลายแห่งต่างปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อลงตามไปด้วย ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาภาระหนี้สินของครัวเรือนและหล่อเลี้ยงสภาพคล่องของภาคธุรกิจได้ในระดับหนึ่ง
"ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทยในปัจจุบัน (KR-ECI) และดัชนีฯ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (3-month Expected KR-ECI) ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 72 เดือน จากความกังวลที่เพิ่มขึ้นในทุกมิติการครองชีพของครัวเรือน ทั้งในฝั่งรายได้ที่ลดลงและรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นตามความเสี่ยงด้านสุขภาพที่สูงขึ้น หลังมีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ประกอบกับหลายพื้นที่ในประเทศไทยยังเผชิญปัญหาฝุ่น PM 2.5" เอกสารเผยแพร่ระบุ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 จากที่เปราะบางอยู่แล้ว จากผลกระทบของเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวต่อเนื่อง และปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับทำการเกษตรจากภาวะภัยแล้ง จะเปราะบางมากยิ่งขึ้นจากปัจจัยเสี่ยงทางด้านการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้ครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพที่สูงขึ้น ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่หลายแห่ง หลัง กนง.มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ต่อปี ก็น่าจะมีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระหนี้สินของครัวเรือนและภาคธุรกิจได้ในระดับหนึ่ง
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ