ในช่วงเดือนก.ค. - ส.ค. นี้ การคัดเลือกทหารกองประจำการณ์หรือการเกณฑ์ทหารจะเวียนมาบรรจบอีกวาระหนึ่ง ประกอบกับการได้มีโอกาสอ่านรายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลที่ได้เผยแพร่ไปก่อนหน้านี้ แม้เห็นเพียงชื่อของรายงานในครั้งแรกก็สะกิดหัวใจและกระตุ้นให้ฉันได้หวนนึกถึงประสบการณ์ของตนเองและเพื่อน ๆ ที่ต้องประสบพบเจอในค่ายทหาร ฉันเองก็ขอเน้นย้ำอีกครั้งตามชื่อเรื่องของรายงานว่า "เรา (พลทหาร) ก็เป็นแค่ของเล่นของพวกเขา"
ฉัน อดีตทหารเกณฑ์ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ภายในค่ายทหารหนึ่งปีเต็ม เป็นหนึ่งปีที่ยังคงยืนยันเสมอว่าเป็นช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกไร้คุณค่ามากที่สุดในชีวิต เป็นขวบปีที่สูญเปล่าและน่าเสียดายอย่างยิ่งในฐานะมนุษย์ที่มีศักยภาพที่สามารถแบ่งปันกับประเทศและโลกใบนี้ด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญที่ฉันมี
หนึ่งปีตรงนั้นคือหนึ่งปีที่ฉันถูกพรากสิทธิที่สำคัญอย่างยิ่งยวดในฐานะมนุษย์ คือสิทธิที่จะ “เลือก” และกำหนดชีวิตโดยเจตจำนงค์อิสระของฉันเอง การมีอยู่ของพ.ร.บ.การเกณฑ์ทหารทำให้ฉันถูกรึงรัดไว้ด้วยข้อกฎหมายที่ป่าเถื่อน กฎหมายที่ละเมิดและขืนใจมนุษย์เพศชายให้สมยอมกับอำนาจซึ่งไร้เหตุผลในกองทัพ ด้วยการมีอยู่ของกฎหมายนั้นทำให้ฉันถูกส่งไปในค่ายทหารในนามของ “รัฐ” เพื่อถูกกระทำย่ำยีอย่างไร้คุณค่า ถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจให้เหลือแค่เครื่องพูด "ครับ" อัตโนมัติเพียงเท่านั้น
มันน่าประหลาดใจเหลือเกินที่เมื่อคุณก้าวเท้าเข้าไปในรั้วของค่ายทหารแล้ว บรรยากาศและสภาพแวดล้อมตรงนั้นมันบอกคุณว่า “ชีวิตของคุณจะไม่ใช่ของคุณอีกต่อไป” คุณมีหน้าที่แค่ “ทำตามคำสั่ง” อย่างคำขวัญที่คุณต้องท่องทุกเช้าค่ำเสมือนการสะกดจิตหมู่เพื่อควบคุมกำกับคุณว่า "ไม่มีอะไรที่ทหารใหม่ทำไม่ได้ ทำไม่ไหว ทำไม่ทัน รับคำสั่ง ทำทันที ทำดีที่สุด"
ฉัน ในฐานะพลทหารที่เปิดเผยตัวชัดเจนว่าเป็นเกย์นั้นต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก ฉันต้องตกเป็นเครื่องมือในการสร้างความสนุกสนานในกองร้อย ฉันมักถูกเรียกให้ออกไปเต้นหน้าห้องอบรมเพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้คนอื่น รุ่นพี่ครูทหารใหม่มักเข้ามาหาฉันด้วยคำพูดที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ ถามว่าฉันอยากอมอวัยวะเพศของใครบ้าง หลายครั้งที่รุ่นพี่มักโชว์อวัยวะเพศของเขาให้ฉันดูอย่างจงใจ หลายครั้งที่ฉันต้องอุทิศหัวนมและก้นให้พวกเขาจับเล่นราวกับว่าเป็นสิ่งสาธารณะ และครั้งที่รุนแรงที่สุดคือครั้งที่ฉันมีรุ่นพี่ทหารใหม่มุดเข้ามาในมุ้ง และมีอีกหลายคนมุงอยู่นอกมุ้ง โดยมีหนึ่งคนชักอวัยวะเพศเขาออกมานอกกางเกงและพยายามชี้มาที่ปากของฉัน
หนึ่งปีนั้นทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่าวาทกรรมและการโฆษณาชวนเชื่อของทหารนั้นเป็นสิ่งที่น่าขันเพราะฉันเองสามารถมีวินัย และสามารถเรียนรู้วินัยได้ผ่านโลกปกติข้างนอกโดยไม่ต้องเข้ามาเป็นทหารให้คนอื่นย่ำยี ฉันเองสามารถรับใช้ชาติได้ตามความรู้ความสามารถที่ฉันเรียนมาโดยไม่ต้องทิ้งความรู้ทุกอย่างให้สูญเปล่าอย่างน่าเสียดายโดยมีอีกหลายคนต้องเสียโอกาสจากการได้รับประโยชน์จากความรู้ความสามารถของฉันเพราะมีกฎหมายบังคับให้ฉันต้องเขามา "พูดครับ" และรับคำสั่งอย่าง "เชื่องเชื่อ" ในฐานะทหารเกณฑ์
ฉันยังโชคดีที่ประสบการณ์การถูกละเมิดของฉันหยุดอยู่ที่การถูกละเมิดโดยวาจา ถูกคุกคามทางเพศ และถูกพรากสิทธิและเสรีภาพในการใช้ชีวิตตามเจตจำนงค์อิสระของตนเองอย่างที่ฉันอยากเป็น แต่สำหรับหลายคนแล้วการเข้ามาอยู่ในค่ายทหารอาจหมายถึง การที่ครอบครัวขาดเสาหลัก การสูญเสียรายได้ การสูญเสียคนรัก การเสียชีวิตและลมหายใจ เพราะถูกทารุณกรรมโดยการปราศจากการตรวจสอบและวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดที่เรามักเห็นตามข่าว
ฉันเคยมีเพื่อนที่ต้องถูกสั่งขังเป็นสัปดาห์เพราะถูกสงสัยว่าขโมยสร้อยคอของภรรยานายพลท่านหนึ่ง โดยคำอธิบายของเขาไม่ถูกรับฟัง และให้หลังต่อมาภรรยานายพลก็พบสร้อยนั้นด้วยตัวเอง โดยสิ่งที่แลกมาคืออิสระภาพที่ต้องสูญเสียไปเกือบอาทิตย์ แต่นั่นเป็นอิสระภาพที่เหลือน้อยนิดหลังจากที่ต้องสูญเสียอิสรภาพจากกฎหมายเกณฑ์ทหารมาแล้วขั้นหนึ่ง เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ฉันเห็นกรงซ้อนกรงที่ชีวิตของพลทหารเสมือนสิ่งของที่ถูกกักขัง และถูกจับวางที่ไหนก็ได้ตามอำเภอใจของผู้บังคับบัญชา
ชีวิตพลทหารจึงเหมือนจุดต่ำสุดของกองทัพ จุดต่ำสุดที่ใครจะทำอะไรกับคุณก็ได้ จุดที่คุณจะรู้ว่าเสียงของคุณถูกพรากไป ระบบยุติธรรมและการร้องเรียนปกติจะไม่ได้ช่วยต่อลมหายใจและสร้างความยุติธรรมให้คุณ เพราะคุณรู้ดีว่าสิ่งสูงสุดของทหารคือ "คำสั่งจากผู้บังคับบัญชา" และสังคมพวกพ้องและการอุปถัมป์ที่ฝังลึกนั้นจะไม่ทำให้คนตัวเล็กตัวน้อยอย่างคุณได้หายใจ
ถ้าคุณโกรธไม่พอ หรือไม่มีลู่ทางคุณก็ต้องตกอยู่ในสถานะจำยอม และจำนนในชะตาชีวิต ซึ่งแท้ที่จริงไม่ใช่ชะตาชีวิตแต่คือการกดขี่และรีดนาทาเร้นที่เป็นระบบโดยรัฐและกฎหมาย
ถ้าคุณโกรธมากจนหมดหนทางและขาดสติคุณอาจเลือกปล้นคลังแสง ออกไปกราดยิง อย่างเช่นนายสิบที่เป็นข่าว
ถ้าคุณทนไม่ไหวกับการทุจริตและความอยุติธรรมในกองทัพ แล้วเลือกช่องทางฟ้องร้องปกติ คุณเองก็อาจจะโดนวัฒนธรรมของกองทัพกลับมาเล่นงานคุณอย่างเช่นหมู่อาร์ม
และถ้าคุณไม่ลุกขึ้นทำอะไรเลยคุณก็อาจอยู่ระหว่างสองฝั่งคน หนึ่งก็คือผู้ที่ได้ประโยชน์จากระบบนี้ และสองคือผู้ที่ถูกแสวงประโยชน์ที่ถูกทำให้เชื่อว่าไร้เรี่ยวแรงจนคุณเองก็คิดว่าคุณทำอะไรไม่ได้
แต่กระนั้นปัญหาของการเกณฑ์ทหารมิใช่อยู่แค่วิถีการปฏิบัติหรือวัฒนธรรมความรุนแรงที่ถูกฝังรากหยั่งลึกลงในรั้วทหารเพียงเท่านั้น แต่ปัญหาเชิงหลักการใหญ่คือการ "บังคับ" ให้คนต้องตกอยู่ใน "สภาวะ" และ "สถานะ" ที่เขาไม่ได้เลือก และหนทางในการแก้ไขก็คงเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารให้เป็นรูปแบบสมัครใจ การปฏิรูปวัฒนธรรมการปฏิบัติต่อกันและการฝึกในกองทัพ การเพิ่มสวัสดิการเงินเดือน และการลดขนาดกองทัพและอัตรานายพลอย่างที่หลายฝ่ายเสนอไว้
เพราะถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น เพราะถ้าในทุกปีที่กฎหมายนี้ยังคงอยู่ เราไม่อาจมั่นใจได้เลยว่าจะมีพ่อแม่กี่คนที่ต้องคอยทวงถามความยุติธรรมให้กับลูกที่ต้องตายไปจากการถูกซ้อมทรมานในค่ายทหาร จะมีชายหนุ่มวัยแรงงานอีกกี่ชีวิตที่ต้องขาดโอกาสในการพัฒนาตัวเองและประเทศชาติตามความรู้ความสามารถที่เขามี จะมีอีกกี่คนที่ถูกละเมิดย่ำยีภายในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยระบบชนชั้นที่สืบทอดมาหลายรุ่นและยากที่จะกะเทาะออกอย่างที่เราได้เห็นตามข่าว
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ภาพที่เห็นเด่นชัดคือ “การถูกบังคับ” โดยรัฐและระบบโครงสร้างกฎหมายที่ทำให้คนถูกกดขี่ แต่อย่างน้อยการถูกบังคับในลักษณะนี้พ่อแม่ ครอบครัวยังสามารถรับรู้ชะตากรรมชีวิตของลูกหลานตัวเองได้ แต่สิ่งที่น่ากลัวและโหดร้ายทารุณกว่านั้นคือ “การถูกบังคับให้สูญหาย” ที่รัฐเองมีส่วนก่อให้เกิดความไม่มั่นคงปลอดภัยและดำรงไว้ซึ่งบรรยากาศของการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งด้วยการกระทำและงดเว้นการกระทำของรัฐ
ตามความหมายของอนุสัญญาคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการถูกบังคับให้สูญหาย ค.ศ. 2006 แล้ว "การถูกบังคับให้สูญหาย" เป็นการกระทำของ “รัฐ” หรือ “ผู้มีอำนาจ” ที่ทำให้รัฐนั้นเพิกเฉย ละเลย ไม่ใส่ใจ ต่อการที่บุคคล หรือกลุ่มบุคคล ถูกจับกุม คุมขัง ถูกลักพาตัว หรือถูกลดทอนเสรีภาพในรูปแบบอื่น รวมกระทั่งการที่รัฐไม่รับรู้ หรือไม่พูดถึง หรือปฏิเสธการมีอยู่ของการริดรอนสิทธิเสรีภาพของกลุ่มหรือบุคคลดังกล่าว หรือกระทั่งการปกปิดถิ่นที่อยู่หรือชะตากรรมของผู้สูญหายทำให้ผู้นั้นไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
เรื่องนี้เป็นการกระทำที่ร้ายแรง และลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลอย่างยิ่ง เพราะชะตาชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งถูกปิดบังและบังคับให้ถูกลืมไปจากโลกโดยที่ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เช่นครอบครัวหรือคนในสังคมจะรับรู้ชีวิตและชะตากรรมของพวกเขาได้เพียงแค่ “ข่าวลือ” หรือการ "คาดคะเน" เอาเท่านั้น คนที่อยู่ข้างหลังจะเผชิญปัญหาและมีชีวิตอยู่กับความไม่แน่นอนคาบเกี่ยวอยู่ระหว่าง “ความหวัง” และ “ความสิ้นหวัง”
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นอาชญากรรมร้ายแรงต่อมนุษยชาติ ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง มันคือเรื่องของเราทุกคน เพราะมันสามารถเกิดขึ้นได้เสมอกับเพื่อนของเรา ญาติของเรา คนที่เรารู้จัก หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ “รับไม่ได้” ทั้งสำหรับชีวิตปุถุชนธรรมดาทุกคนและในแง่กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศนี่จึงเป็นที่มาของ “อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ” ค.ศ. 2006 (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance) ซึ่งหลัก ๆ คือการเรียกร้องให้รัฐทำให้การบังคับบุคคลสูญหายที่เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐหรือมีส่วนรู้เห็นหรือเพิกเฉยจากรัฐเป็นการกระทำผิดตามกฎหมายอาญาและมีการกำหนดโทษในความผิดดังกล่าว
ประเทศไทยได้ลงนาม (Signature) ในอนุสัญญาดังกล่าวต่อองค์การสหประชาชาติแล้วเมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๕ ถือเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยที่มีความตั้งใจจริงในการส่งเสริม ปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งเห็นความสำคัญของการแก้ไขปัญหาการบังคับให้บุคคลสูญหาย และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติเห็นชอบในหลักการการให้สัตยาบันต่ออนุสัญญา ICPPED เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2559 และเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2560 ตามลำดับ
โดยที่ผ่านมากระทรวงยุติธรรมได้มีความพยายามนำเสนอร่างกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในปี 2562 แต่ด้วยขั้นตอนของการแก้ไขปรับปรุงและการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะการเปิดประชาพิจารณ์และรับฟังความคิดเห็นสาธารณะทำให้ยังมีความล่าช้าในการออกกฎหมายดังกล่าวมาบังคับใช้
จากการหายตัวไปของคุณวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้สังคมกลับมาตั้งคำถามว่า ร่างกฎหมายป้องกันการทรมาน-อุ้มหายนั้นได้ถูกดำเนินการไปถึงไหนแล้ว และย้ำชัดอีกครั้งว่าการมีอยู่ของกฎหมายนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการปกป้องคุ้มครองชีวิตมนุษย์ และยืนหยัดในคุณค่าสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สิทธิในการมีชีวิตอยู่”
เนื่องในวันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้เป็น “วันช่วยเหลือเหยื่อจากการทรมานสากล” (International Day in Support of Victims of Torture) หรือที่ประเทศไทยมักคุ้นเคยกันในนาม “วันต่อต้านการทรมานสากล” ฉันเองก็หวังว่าไฟแห่งการเห็นคุณค่าของสิทธิมนุษยชนผ่านการขับเคลื่อนทางสื่อสังคมออนไลน์อย่าง #Saveวันเฉลิม จะยังคงโหมกระพือลุกโชนในหัวใจของคนไทย จนสามารถสร้างแรงกระเพื่อมไปยังรัฐสภาในฐานะ “ผู้แทนปวงชนชาวไทย” ให้สามารถออกกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องคุ้มครองปวงชนจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำของรัฐที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและทำให้บุคคลต้องสูญหายได้สักที และในทางเดียวกันแฮชแท็กอย่าง #ยกเลิกเกณฑ์ทหาร จะหมดไปจากสังคมไทยเพราะเราได้เดินหน้าสู่การปฏิรูปกองทัพและระบบการคัดเลือกทหารให้มีความทันสมัยและเคารพสิทธิมนุษยชนและคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในทุกมิติจนเราไม่ต้องออกมาเรียกร้องเรื่องนี้กันอีก
ที่มาภาพประกอบ: ผู้จัดการออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ