9 เดือนปี 2563 เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ขาดทุนสุทธิ 855.02 ล้านบาท

กองบรรณาธิการ TCIJ 28 ธ.ค. 2563 | อ่านแล้ว 3112 ครั้ง

9 เดือนปี 2563 เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ขาดทุนสุทธิ 855.02 ล้านบาท

ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) เผยปี 2563 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ผลประกอบการในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีรายได้ 2,879.67 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 855.02 ล้านบาท

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ รายงานเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2563 ว่านายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้และกำไรสุทธิในปี 2564 จะกลับไปใกล้เคียงกับปี 2562 ที่มีรายได้ 11,141.21 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,170.03 ล้านบาท เป็นการเติบโตในลักษณะวีเชฟ หลังจากปีนี้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ผลประกอบการในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีรายได้ 2,879.67 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 855.02 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทยอมรับว่าโควิด-19 สร้างผลกระทบค่อนข้างมาก ซึ่งนับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศมา 25 ปีไม่เคยขาดทุนแม้แต่ครั้งเดียวจนกระทั่งปีนี้ แต่ก็มองว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีในการปรับโครงสร้างองค์กรให้แข็งแรงและลองทำในสิ่งใหม่ๆ หรือธุรกิจใหม่ๆ เช่นการขายสินค้าออนไลน์ เริ่มจากการขายป๊อปคอร์น ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2563 ก็คาดว่าน่าจะเติบโตดีกว่าไตรมาส 3/2563 เนื่องจากภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยมีหนังเข้ามาฉายและกวาดรายได้เกิน 100 ล้านบาทเกือบทุกเรื่อง สร้างความมั่นใจให้กับผู้ผลิตหนังรายอื่นๆ นำหนังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ภายในเดือน ธ.ค. 2563 มีหนังฟอร์มยักษ์จากฝั่ง Hollywood และจากค่ายหนังต่างๆ ที่ได้เริ่มจองตารางเข้าฉายมาแล้ว เช่น อีเรียมซิ่ง ทำเงินไปได้ค่อนข้างมาก, ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่ : ศึกรถไฟสู่นิรันดร์, อ้าย..คนหล่อลวง ของ GDH, อัศจรรย์วิญญาณอลเวง จากค่าย Disney และล่าสุด Wonder Woman 1984 (2020) ของวอร์เนอร์บราเธอส์ (WB) ก็ได้ฉายที่ MAJOR เป็นที่แรก เชื่อว่าจะทำเงินเกิน 100 ล้านบาทหรือมากกว่าภาคแรก และส่งท้ายปีด้วยเรื่อง มอนสเตอร์ ฮันเตอร์ จากผู้กำกับ Resident Evil ที่มีโทนี่ จา แสดงอีกด้วย

นายวิชา กล่าวว่า สำหรับการเติบโตในปี 2564 จะมาจากการ Transform องค์กรและปรับโครงสร้างการทำงานใหม่เป็น Total Digital Organization และสร้าง Business Model ให้แข็งแรงด้วย 3T ประกอบด้วย

1.Thai Movie โฟกัสหนังไทย โดยปีหน้าจะเป็นปีที่ Movie is back, No Time To Die จะมีหนังเข้าฉายมากถึง 260 เรื่อง แบ่งเป็น หนังฮอลลีวูดประมาณ 210 เรื่อง และหนังไทยราว 50 เรื่อง ซึ่งจะเป็นของบริษัทในเครือ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป 6 ค่าย ได้แก่ M PICTURES, M ๓๙, Transformation Film, CJ MAJOR Entertainment, TAI MAJOR และ รฤก โปรดักชั่น รวม 20 เรื่อง ซึ่งยอดผลิตเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากที่เคยผลิตเพียงปีละ 10-12 เรื่อง

ส่วนค่ายอื่น ๆ ได้แก่ GDH 4 เรื่อง, สหมงคลฟิล์ม 7 เรื่อง ไฟว์สตาร์ 3 เรื่อง และค่ายหนังอื่นๆ โดยคาดว่าจะเป็นหนังทำเงิน ได้แก่ คุณชายใหญ่, บอสฉัน...ขยันเชือด My Boss is a Serial Killer, เรื่องผีเล่า, ไสหัวไป นายส่วนเกิน, Game Changer, โกสต์แล็บ ฉีกกฎทดลองผี, ส้มปลาน้อย, ผีมือใหม่, ผาดำคำไอ่, SLR, พี่นาค 3, ร่างทรง, แดงพระโขนง, แสงกระสือ 2, สุภาพบุรุษสุดชอย The Movie, I Am OK และ บุพเพสันนิวาส ๒

ด้านหนังฮอลลีวูดประมาณ 210 เรื่อง ส่วนหนึ่งเลื่อนฉายจากปี 63 ในช่วงโควิด-19 เป็นหนังที่หลายคนรอคอยการกลับมาฉาย เนื่องจากเป็นบ็อกซ์บัสเตอร์ฟอร์มยักษ์ที่คาดว่าจะทำเงิน อาทิ Black Widow, Godzilla VS Kong, Fast & Furious 9, Mission : Impossible 7, Spider-Man Sequel, The Matrix 4, Venom 2, The Conjuring 3, Mortal Kombat, The King's Man, Morbius, No Time to Die, A Quiet Place Part 2, Infinite, Top Gun 2 : Maverick, Minions : The Rise of Gru, Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings, Jungle Cruise, The Suicide Squad 2, Dune, The Eternals

2.Technology โดยจะมุ่งเน้นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทันสมัยเข้ามาเติมเต็มในการให้บริการมากขึ้น จากที่ผ่านมา Major ได้มีการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยเข้ามาให้บริการลูกค้า เริ่มตั้งแต่การขายตั๋วผ่านตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ E Ticket แล้วพัฒนาต่อเป็น Seamless Ticket หรือการซื้อผ่านแอพได้ตั๋ว นำมาสแกนที่ตู้แล้วเดินเข้าโรงภาพยนตร์ได้ทันที

อีกทั้งยังพัฒนาระบบ A&ML เป็นระบบ Movie Recommendation Engine เพื่อส่งมอบโปรโมชั่นที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น ตลอดจนการเปลี่ยนเป็น Cashlees ด้วยการให้บริการบัตรเงินสด M Cash และขยายฐานการขายตั๋วผ่านพาร์ทเนอร์ ทุกธนาคาร และระบบเพย์เมนต์ต่าง ๆ เช่น ทราเวลโลก้า, ไลน์, แอร์เพย์, ช๊อปปี้, ดอลฟิน, ทรูมันนี่, KMA, Uchoose

พร้อมเปิดรับสมัครสมาชิก M Generation, M Pass และยังเดินหน้าพัฒนาแอพให้เป็น Super Application เพื่อเป็นช่องทางการขายตั๋วผ่าน Mobile Ticketing 100% ซึ่งจะทำให้ Digital Lifestye การชมภาพยนตร์ การซื้อตั๋วหนัง จะง่ายขึ้น เร็วกว่า และสมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยระบบการซื้อตั๋วผ่านแอพแบบ Seamless + Ticketless จะตอบโจทย์ลูกค้าเรื่องความสะดวกสบายในการซื้อบัตรชมภาพยนตร์ การ Integrte ระบบขายตั๋ว ระบบ M GEN และ Movie content ใน Major Super App และการใช้ Data Analytc เข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลทำ Maximize Yield Managment คล้ายระบบ Revenue Optimization ของสายการบิน เพื่อให้จัดโปรแกรมรอบฉายได้ตรงใจแบบเรียลไทม์มากขึ้น และยังมีการเปิดดัว M GEN NEXT การปรับรอยัลตี้แพลตฟอร์มครั้งใหญ่เพื่อให้สอดคลัองกับพฤติกรรมลูกค้าที่เป็น Heavy User จะเหมาะกับโปรแกรม M PASS และลูกค้าทั่วไป Light user เหมาะกับ M GEN NEXT

3. Trading ถือเป็น New Business จากการเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์กับ "Major Popcorn Delivery" โดยจะมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายขนาด ได้แก่ ป๊อปคอร์น Pop Corn Supersize ป๊อปคอร์นใหญ่ ขนาด 355 ออนซ์, Pop To Go ป๊อปคอร์นในถุงซิปล็อค ขนาด 75 ออนซ์, POP STAR ป๊อปคอร์นพรีเมียมบรรจุในกระป้อง ขนาด 60 ออนซ์

นอกจากนี้ยังได้ขยายช่องทางการขายป๊อปคอร์นเข้าไปในอีเวนต์ต่าง ๆ เช่น กีฬา, คอนเสิร์ต, Pop To Go ในห้างสรรพสินค้า และล่าสุดได้ขยายไลน์สินค้าป๊อปคอร์นด้วยการเปิดตัว ป๊อปคอร์นพรีเมียม POPSTAR ให้ลูกค้าที่ชื่นชอบในรสชาติของป๊อปคอร์นโรงหนังที่เป็นเอกลักษณ์ ได้เลือกอร่อยใน 3 รูปแบบ คือ ป๊อปสตาร์ สแน็ค ป๊อปคร์นแบบซอง, ป๊อปสตาร์ ไมโครเวฟ รสชีส ทำเองได้ง่าย ๆ เพียงเข้าไมโครเวฟ และ ป้อปสตาร์พรีเมียม ทินแคน ป๊อปคอร์นพรีเมียมบรรจุกระป๋อง เป็นต้น ซึ่งในอนาคตบริษัทฯ ก็มองการขยายช่องทางขายใน Outlet ด้วย

"ในปีหน้า Major ได้มีการจัดทัพใหม่ ดู Business Model ว่าจะทำอย่างไรให้มันแข็งแรง และยั่งยืนขึ้น ผ่านการดำเนินกลยุทธ์ด้วย 3T ได้แก่ Thai Movie โดยจะมาโฟกัสหนังไทยมากขึ้น เนื่องจากยังเป็นหนังเนื้อหอม และสร้างรายได้ค่อนข้างดีมาก ซึ่งเราจะพัฒนาอุตสาหกรรมหนังไทยให้เป็นทั้งสามารถขายในโรงภาพยนต์ไทย รวมไปถึงเป็นสินค้าส่งออกให้ได้ หรือผ่านช่องทางสตรีมมิ่ง ไม่ว่าจะเป็น Netflix, ดิสนีย์, HBO เป็นต้น โดยวางแผนผลิตหนังในปีหน้าไม่น้อยกว่า 20 เรื่อง,

Technology โฟกัสเทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งคอนเซ็ปท์ของเราคือ Major ต้องเป็น Total Digital Organization โดยภายใน 1-2 เดือนนี้ บริษัทฯ ก็เตรียมออกซุปเปอร์ แอพพลิเคชัน ตัวใหม่ที่มีความฉลาดขึ้น และสามารถทำโปรโมชั่นเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น, Tranding การขายป๊อปคอร์นผ่านดิลิเวอรี่ และซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงการขายทุกอย่างที่เป็นโปรดักส์ของเรา โดยในส่วนนี้เราวางเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 10% ของการขายป๊อปคอร์น" นายวิชา กล่าว

นายวิชา กล่าวว่า ด้านแผนการตลาดในปี 64 จะเน้นทำการตลาดแบบ Convergence โดยทำ ON-GROUND ควบคู่ไปกับ ONLINE จากความสำเร็จของการเติบโตของ M PASS ทำให้ลูกค้ามาดูภาพยนตร์ที่โรงภาพยนต์เติบโตมากถึง 100,000 Member และมียอดสมัครใหม่มากกว่าเดือนละ 30,000 คน มีการใช้ดาต้าเบสเพื่อหาลูกค้ากลุ่มใหม่ผ่านครื่องมือ GA360 เพื่อใช้ Application ในการนำเสนอโปรโมชั่นดิจิตอล หรือ M VOUCHER ให้ตรงใจกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น

อีกทั้งเลือกคอนเทนต์ที่มีความหลากหลายที่เป็น Alternative Content, Non-Movie Content เพื่อนำประสบการณ์พิเศษแปลกใหม่เข้าสู่โรงหนัง เช่น การแข่งขันอีสปอร์ต, Dine in ส่วนคอนเทนต์หนังจะนำเสนอคอนเทนต์เอเชียนที่มาแรง ไม่ว่าจะเป็น เกาหลี จีน และอินเดีย ที่มีความน่าสนใจมากขึ้น พร้อมต่อยอดการนำพื้นที่โรงหนังเป็นสถานที่ใช้จัดกิจกรรมต่าง ๆ หลากหลายเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม เช่น การจัดสัมมนา, การจัดประชุมผู้ถือหุ้น, การจัดเสวนาทางวิชาการ การจัดงานแถลงข่าว, การจัดกิจกรรมติวเตอร์, การถ่ายทอดสด Live Streaming, การประกวดมิสยูนิวอร์สไทยแลนด์ ปี 2020 และคอนเสิร์ตออนไลน์ (LIVE) จากญี่ปุ่นและเกาหลี, การจัดงานมอบรางวัล, การฉายภาพยนตร์ซีรีย์รอบพิเศษ, การจัดงานแต่งงาน เป็นต้น รวมถึงการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นทุกๆ เดือน

สำหรับแผนการลงทุนปี 64 บริษัทฯ วางงบลงทุนรวมไว้ที่ 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การผลิตคอนเทนท์ 350-400 ล้านบาท ที่เหลือจะเป็นการขยายสาขาในต่างจังหวัดเพิ่มอีก 8 สาขา รวม 24 โรง และสาขาในกัมพูชา อีก 2 สาขา รวม 6 โรง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการ โดยเฉพาะการรับชมหนังภูมิภาค (Regional Film) ที่นักแสดงพูดภาษาถิ่น ที่ผ่านมามีหนังที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าในแต่ละภูมิภาคเป็นอย่างดี เช่น ภาคอีสาน ได้แก่ นาคี ๒ ทำรายได้กว่า 400 ถ้านบาท, ส่ม ภัค เสี่ยน 200 ล้านบาท และไทยบ้านเดอะ ชีรีส์, ภาคใต้ เช่น โนราห์, มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ ส่วนภาษาเหนือ ในปีหน้าจะมีเรื่อง ส้มป่อย เป็นต้น รวมถึงลงทุนด้านเทคโนโลยี

ปัจจุบัน บริษัทมีสาขาที่เปิดให้บริการรวมทั้งสิ้น 172 สาขา หรือคิดเป็นจำนวน 817 โรง และ 185,874 ที่นั่ง แบ่งเป็น สาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจำนวน 47 สาขา 357 โรง 81,388 ที่นั่ง, สาขาในต่างจังหวัด 117 สาขา 421 โรง 96,037 ที่นั่ง และสาขาในต่างประเทศ 8 สาขา 39 โรง 8,449 ที่นั่ง

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: