เปิดแผนชุมชนจัดการตนเองกู้วิกฤต ‘คลองเตย’ ตัดวงระบาด-จัดระบบพักคอยรอส่งต่อ-ดูแลหลังกลับจาก รพ.

กองบรรณาธิการ TCIJ 6 พ.ค. 2564 | อ่านแล้ว 1876 ครั้ง

เปิดแผนชุมชนจัดการตนเองกู้วิกฤต ‘คลองเตย’ ตัดวงระบาด-จัดระบบพักคอยรอส่งต่อ-ดูแลหลังกลับจาก รพ.

วงเสวนา “โควิด-19 รุกคลองเตย” เปิดโมเดลชุมชนจัดการตนเอง ตัดวงจรระบาด-จัดระบบส่งต่อ-ดูแลครัวเรือน-เฝ้าระวังผู้ที่หายป่วย “รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ” ชี้ต้องเร่งถอดบทเรียน ขยายต้นแบบไปสู่พื้นที่อื่น ขณะที่ “สลัมสี่ภาค-เครือข่ายบ้านมั่นคง” วอนช่วยเหลือคนจนที่ได้รับผลกระทบ เสนอพักหนี้บ้าน ขอการสนับสนุนอาหาร-อุปกรณ์ป้องกันโรค

เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2564 สำนักข่าวไทยพีบีเอส ได้จัดเวทีเสวนาออนไลน์ หัวข้อ “โควิด-19 รุกคลองเตย : ช่วยชีวิต ปิดจุดเสี่ยง” เพื่อติดตามสถานการณ์การระบาดในพื้นที่คลองเตย กรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมถอดบทเรียนระบบการจัดการวิกฤตสุขภาพโดยชุมชน

น.ส.เพ็ญวดี แสดงจันทร์ ผู้จัดการมูลนิธิดวงประทีป กล่าวว่า ขณะนี้ชุมชนคลองเตยได้รับการสนับสนุนจากภาคีเครือข่ายเป็นจำนวนมาก มีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ บุคลากรทางการแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ ฯลฯ เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ในชุมชนมีกำลังใจในการทำงานเป็นอย่างมาก โดยขณะนี้ได้ร่วมกันมีการจัดตั้ง “ศูนย์พักคอยรอการส่งต่อ” ขึ้นที่วัดสะพาน ซึ่งเป็นความร่วมมือของชุมชนกับการสนับสนุนจากภาคีภายนอก เพื่อแยกผู้ที่ติดเชื้อจากครัวเรือนออกมาให้การดูแล และประสานหาเตียง โดยศูนย์นี้รองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 50 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถประสานเตียงให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง

นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท สำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า บทบาทสำคัญของศูนย์พักคอยฯ มีด้วยกัน 2 ประการ ได้แก่ 1. การตัดวงจรการระบาดในชุมชน ด้วยการแยกตัวผู้ติดเชื้อออกมาดูแลที่ศูนย์พักคอยฯ 2. การอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจำนวนมากออกจากชุมชนไปยังโรงพยาบาล ซึ่งรถพยาบาลหรือรถขนาดใหญ่สามารถเข้ามารับที่ศูนย์ฯ ได้ทันที

อย่างไรก็ตาม ด้วยบริบทของคลองเตยมีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก ฉะนั้นการจัดการจำเป็นต้องครอบคลุม 4 มิติ ได้แก่ 1. กลุ่มผู้ที่ติดเชื้อ ซึ่งชุมชนได้วางระบบการส่งตัวออกมายังศูนย์พักคอยฯ เพื่อตัดวงจรการระบาด และวางระบบการประสานโรงพยาบาลไว้แล้ว 2. กลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ตรงนี้ต้องทำให้เกิด “การควบคุมพื้นที่โดยชุมชน” เพื่อจำกัดการเคลื่อนที่ในชุมชน โดยใช้คอนเซ็ปต์ Community Quarantine (CQ) 3. ผู้ที่ยังอยู่ในชุมชน จำเป็นต้องดูและทั้งการแพทย์ การป้องกันโรค อาหาร อาชีพ ฯลฯ และ 4. ผู้ป่วยที่กลับมาจากโรงพยาบาล

นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า กรณีที่ผู้ป่วยกลับจากการรักษาที่โรงพยาบาล อาจมีหลายกรณีที่ผู้ป่วยยังไม่สะดวกหรือไม่สามารถกลับเข้าไปบ้านได้ทันทีจำเป็นต้องมี “ศูนย์พักฟื้นชุมชน” ขึ้นมาทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยหลังได้รับการรักษาต่อไปอีกระยะหนึ่ง

“จากคลองเตยโมเดล เราจะเห็นได้ว่ามีแนวคิดที่ชัดเจนแล้วว่า 1. ในทางการแพทย์เราต้องการตัดวงจรการระบาด แต่การตัดวงจรให้สำเร็จได้นั้น ยังต้องอาศัยภาคสังคมเข้ามามีส่วนร่วมด้วย 2. แม้ในบางพื้นที่จะยังไม่มีเคสผู้ป่วย แต่ก็ได้รับผลกระทบทางสังคมไปแล้ว ฉะนั้นการช่วยเหลืออย่างรอบด้านจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำควบคู่กันไป” นพ.ปรีดา กล่าว

นพ.ปรีดา กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่จำเป็นต้องทำต่อจากนี้คือการสรุปบทเรียนของคลองเตยโมเดลให้เร็วที่สุด จากนั้นก็ขยายโมเดลต้นแบบนี้ออกไปในพื้นที่ต่างๆ โดยผู้ที่มีความสำคัญในการจัดการคือคณะกรรมการชุมชน ที่ต้องดูแลใน 4 ด้าน คือประสานทางการแพทย์ ประสานอาหาร ประสานอาชีพ และประสานการสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจกับชุมชน

“ที่สำคัญคือภาครัฐต้องหนุนช่วยคือการปรับแก้ระเบียบของภาครัฐ เพื่อเปิดช่องให้ชุมชนได้มีส่วนจัดการตัวเอง และเข้ามาเชื่อมต่อกับภาครัฐในการทำงานร่วมกันต่อไป” นพ.ปรีดา กล่าว

น.ส.วรรณา แก้วชาติ เครือข่ายสลัมสี่ภาค กล่าวว่า สถานการณ์ในพื้นที่อื่นๆ ที่เครือข่ายทำงาน แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะไม่รุนแรงเท่าคลองเตย แต่ด้านอื่นๆ ก็มีความคล้ายคลึงกัน เช่น สมาชิกในชุมชนตกงาน ขาดรายได้ ขาดอาหาร อุปกรณ์ป้องกันโรคมีไม่เพียงพอ แต่ถ้าพูดในแง่ของความเดือดร้อนที่ต้องการการสนับสนุน คือการแบ่งเบาหนี้สิน การพักชำระหนี้ โดยเฉพาะค่าบ้าน-ค่าที่ดิน เช่น โครงการบ้านมั่นคงในขณะนี้ก็มีการเจรจาเพื่อขอพักชำระหนี้อยู่

“นอกจากเรื่องพักชำระหนี้แล้ว สมาชิกในเครือข่ายอยากได้รับการสนับสนุนเรื่องการส่งเสริมป้องกันโรค การคัดกรองโรค วัคซีน ซึ่งจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีบัตรประชาชน หรือไม่มีบัตรประชาชนก็ตาม เพราะจะช่วยให้คนทั้งประเทศปลอดภัย” น.ส.วรรณา กล่าว

นางจันทิมา ลังประเสริฐ เครือข่ายบ้านมั่นคง กล่าวว่า สมาชิกเครือข่ายบ้านมั่นคงทั่วประเทศมีมากกว่า 400 กลุ่ม โดยการระบาดในระลอก 1-2 ไม่เคยมีผู้ติดเชื้อเลย แต่รอบปัจจุบันได้พบผู้ติดเชื้อแล้ว ซึ่งในตอนแรกที่มีผู้ติดเชื้อเกิดความตื่นตระหนักกันมาก มีการวิ่งเข้าบ้านเพราะทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งผ่านไป 3 ชั่วโมงจึงมีการประสานกับศูนย์สาธารณสุขในพื้นที่เข้ามาช่วยเหลือ

นางจันทิมา กล่าวว่า ขณะนี้เครือข่ายได้ปรับตัวและมีระบบให้ความช่วยเหลือกัน แต่ด้วยทุกคนเป็นผู้มีรายได้น้อย เป็นคนยากจน จึงสายป่านสั้น เงินกองกลางของเครือข่ายที่มีอยู่ก็มีไม่มาก ฉะนั้นการดูแลผู้ที่กักตัว ผู้ที่กลับมาจากโรงพยาบาล จึงต้องการการสนับสนุน โดยเฉพาะเรื่องวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหาร ยารักษาโรคเบื้องต้น รวมทั้งเจลล้างมือ หน้ากากอนามัย ฯลฯ ที่สำคัญคือการสนับสนุนองค์ความรู้ในการตั้งศูนย์ในชุมชนเพื่อดูแลผู้กลับมาจากโรงพยาบาล

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: