น้ำท่วมฉุดการกระเตื้องขึ้นทางเศรษฐกิจจากการเปิดประเทศ คาดงบปี 65 ขาดดุลเพิ่มสูงสุด

กองบรรณาธิการ TCIJ 9 ต.ค. 2564 | อ่านแล้ว 1817 ครั้ง

น้ำท่วมฉุดการกระเตื้องขึ้นทางเศรษฐกิจจากการเปิดประเทศ คาดงบปี 65 ขาดดุลเพิ่มสูงสุด

อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ชี้ผลกระทบน้ำท่วมฉุดการกระเตื้องขึ้นทางเศรษฐกิจจากการเปิดประเทศ ขยับเพดานหนี้สาธารณะมีความจำเป็น คาดแนวโน้มการขาดดุลงบประมาณปี 2565 แตะระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ | ที่มาภาพประกอบ: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธุ์

เมื่อช่วงต้นเดือน ต.ค. 2564 ที่ผ่านมา รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต กล่าวถึง ผลกระทบจากน้ำท่วมครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 29-30 จังหวัด คิดเป็น 28-32% ของจีดีพีประเทศ ผลกระทบดังกล่าวฉุดการกระเตื้องขึ้นทางเศรษฐกิจจากการเปิดประเทศที่คาดว่าจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวเข้ามาในช่วงไตรมาสสี่ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์น้ำท่วมสามารถบริหารจัดการได้ไม่ให้ท่วมในส่วนที่เป็นเขตนิคมอุตสาหกรรม หรือ ย่านศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล คาดว่า ผลกระทบจากน้ำท่วมยังอยู่ในวงจำกัดไม่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมากนัก 

ส่วนประชาชนฐานรากและภาคเกษตรกรรมเสียหายอย่างหนักนั้น รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อชดเชยความเสียหายในทรัพย์สินและอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ รวมทั้งชดเชยรายได้บางส่วน คาดว่า งบประมาณปี 2565 จะมีการขาดดุลงบประมาณสูงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยจะมีการขาดดุลไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาทเพิ่มจากที่ประมาณการเดิมไว้ที่ 7 แสนล้านบาท เนื่องจากรายได้จากเก็บภาษีจะพลาดเป้าค่อนข้างมากและโอกาสในการเก็บภาษีได้สูงกว่า 2.563 ล้านบาทในระดับเดียวกับปี 2562 นั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ส่วนการใช้จ่ายเพื่อชดเชยรายได้เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจปีหน้าอาจจะขยายตัวได้ต่ำกว่า 4% ผลประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและรายได้จะตกอยู่กับกลุ่มคนที่ร่ำรวยและชนชั้นกลางมากกว่ากลุ่มคนยากจนหรือมีรายได้น้อยโดยที่คนกลุ่มนี้ก็ได้รับผลกระทบมากกว่าในช่วงวิกฤตโควิดและยังถูกซ้ำเติมโดยอุทกภัย 

รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่าในเรื่องการขยับเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจากระดับ 60% ไปเป็น 70% นั้นมีความจำเป็น เพราะหากไม่ขยับโดยฐานะทางการคลังในปัจจุบันและอนาคตอีก 1 ปีข้างหน้า สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีพุ่งเกิน 60% อยู่แล้ว รัฐบาลต้องพยายามควบคุมการก่อหนี้ในแต่ละปีและต้องทำให้การขาดดุลงบประมาณลดลง และ รัฐบาลในอนาคตต้องทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นอย่างเต็มศักยภาพในระดับ 5-6% จึงจะทำให้ หนี้สาธารณะต่อจีดีพีปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 60% ของจีดีพีในอีก 10 ปีข้างหน้า ในกรณีที่เศรษฐกิจเติบโตได้น้อยกว่า 1% หนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะทะลุ 80% และ รัฐบาลในอนาคตในช่วงปี พ.ศ. 2570 อาจจะขยายเพดานหนี้อีกครั้งหนึ่ง 

ประเทศไทยนั้นมีหนี้ระยะยาวเพื่อชดเชยความเสียหายทางการเงินของกองทุนเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน (FIDF) ที่ยังมีภาระค้างอยู่อีกไม่ต่ำกว่า 700,000 ล้านบาท หนี้ระยะยาวพุ่งขึ้นอย่างมากหลังจากประเทศไทยเจอวิกฤติเศรษฐกิจโควิดมาเป็นเวลาร่วมสองปี จะเห็นว่าหนี้ระยะยาวส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องกับการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจมากกว่าการกู้เงินมาเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การลงทุนทางด้านวิจัยและนวัตกรรมรวมทั้งการเพิ่มศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ การก่อหนี้สาธารณะเพื่อการลงทุนเป็นสัดส่วนไม่มากจึงทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพในการเติบโตในระยะปานกลางและระยะยาวของไทยจะมีขีดจำกัด 

รศ.ดร.อนุสรณ์ ทิ้งท้ายว่าหากเราตั้งสมมติฐานจากข้อมูลในอดีต การตั้งงบประมาณรายจ่ายประเทศอยู่ที่ 20-22% และรายได้รัฐบาลสามารถจัดเก็บได้ 17-18% ของ GDP ทำให้เราต้องทำงบประมาณขาดดุลมาตลอดนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548-2549 และรัฐบาลต้องกันเงินงบประมาณอย่างน้อย 3.5-4% ของงบประมาณเพื่อชำระคืนเงินกู้และต้องพยายามทำให้งบประมาณสมดุลให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2573-2574 การใช้จ่ายจากงบประมาณต้องดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส นอกจากนี้ ควรต้องปฏิรูประบบภาษีให้ประเทศสามารถหารายได้จากภาษีทรัพย์สิน ภาษีบาป ได้เพิ่มขึ้นอีกและทยอยลดการค้ำประกันให้กับรัฐวิสาหกิจ ปฏิรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นภาระต่องบประมาณน้อยลง กิจการใดที่เอกชนสามารถทำได้ดีกว่ารัฐวิสาหกิจให้เพิ่มบทบาทภาคเอกชน

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: