สื่อ VOA รายงานว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศเพิ่มจำนวนผู้ลี้ภัยที่สหรัฐฯ จะรับเข้าประเทศในปี 2021 นี้ อีก 4 เท่า หลังจากตัดสินใจไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายด้านนี้เมื่อไม่นานมานี้ | ที่มาภาพประกอบ: James Lawler Duggan/Reuters (อ้างใน Council on Foreign Relations)
เมื่อช่วงต้นเดือน พ.ค. 2021 สื่อ VOA รายงานว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศเพิ่มจำนวนผู้ลี้ภัยที่สหรัฐฯ จะรับเข้าประเทศในปี 2021 นี้ อีก 4 เท่า หลังจากตัดสินใจไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายด้านนี้เมื่อไม่นานมานี้
ปธน.ไบเดน ออกแถลงการณ์ที่ระบุว่า ตนได้ปรับเพิ่มจำนวนผู้ลี้ภัยที่สหรัฐฯ จะยอมรับในแต่ละปี ให้มีเพดานสูงสุดอยู่ที่ 62,500 คนในปี 2021 นี้ เทียบกับจำนวน 15,000 คนที่รัฐบาลชุดก่อนตั้งไว้ ที่ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของอเมริกาในฐานะประเทศที่เปิดรับและสนับสนุนผู้ลี้ภัยแม้แต่น้อย
ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบันยังระบุด้วยว่า เพดานรับผู้ลี้ภัยใหม่นี้จะดำเนินไปพร้อมๆ กับการเสริมสร้างความสามารถของประเทศในการต้อนรับผู้ลี้ภัย เพื่อให้ไปถึงเป้าปีละ 125,000 คนในปีงบประมาณหน้าดังที่ตนตั้งไว้
ก่อนหน้านี้ทำเนียบขาวประกาศว่า รัฐบาลจะคงเพดานการรับผู้ลี้ภัยไว้ที่ 15,000 คน แม้ว่า ปธน.ไบเดนจะเคยสัญญาหลังพิธีปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือน ม.ค. 2021 ว่าจะทำการขยายโครงการรับผู้ลี้ภัยนี้ให้ได้ จนทำให้สมาชิกรัฐสภาสังกัดพรรคเดโมแครตจำนวนหนึ่งและนักเคลื่อนไหวสนับสนุนผู้ลี้ภัยหลายคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์จุดยืนของรัฐบาลชุดนี้ทันที
ในแถลงการณ์ล่าสุดนี้ ปธน.ไบเดน กล่าวว่าการดำเนินการเพิ่มจำนวนผู้ลี้ภัยในครั้งนี้คือก้าวสำคัญเพื่อช่วยให้ผู้ลี้ภัยทั่วโลกที่ประสบเคราะห์กรรมแสนสาหัสดได้อุ่นใจว่า ยังมีความหวังที่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แม้ว่าในความเป็นจริงนั้น สหรัฐฯ จะไม่สามารถรับผู้ลี้ภัยได้มากถึง 62,500 คน ในปีงบประมาณปัจจุบันก็ตาม แต่รัฐบาลจะทำทุกอย่างโดยเร็วเพื่อแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในช่วง 4 ปีก่อน
ต่อมา แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์สนับสนุนจุดยืนของนโยบายผู้ลี้ภัยของรัฐบาล ด้วยการระบุว่าการเปิดประตูรับผู้ที่ต้องการลี้ภัย คือดีเอ็นเอของสหรัฐฯ และการปฏิบัติต่อทุกคนที่เข้ามาขอความช่วยเหลือผ่านโครงการนี้ ด้วยความเป็นธรรม และความเคารพในศักดิ์ศรีของบุคคลเหล่านี้ คือสิ่งที่จำเป็นประโยชน์ต่อประเทศด้วย
เอริค พี ชวาทซ์ ประธานกลุ่ม Refugee International แสดงความชื่นชมต่อแถลงการณ์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เปรียบเทียบได้ว่าเป็น “ช่วงเวลาอันเป็นประวัติศาสตร์ที่น่าภูมิใจ” โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั่วโลกยังต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เพราะการต้อนรับผู้ลี้ภัยเข้ามานั้น นอกจากจะตอกย้ำความมีศีลธรรมของสหรัฐฯ แล้ว ยังจะช่วยส่งเสริมความมั่นคงของประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของชุมชนต่างๆ ด้วย
อเล็กซ์ นาวราสเตห์ ผู้อำนวยการโครงการศึกษานโยบายตรวจคนเข้าเมือง แห่ง สถาบันเคโต (Cato Institute) ให้ความเห็นว่า นโยบายใหม่ที่มีออกมาช้าไปนี้ ไม่น่าจะมีผลเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายสำหรับปีนี้ และหากสหรัฐฯ สามารถรับผู้ลี้ภัยได้ถึง 1 ใน 4 ของ เพดาน 62,500 คน ก็ถือว่าโชคดีแล้ว
นาวราสเตห์ บอกกับ วีโอเอ ว่า สิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการคือ “การปฏิรูป การขยาย และการแปรสภาพระบบจัดการผู้ลี้ภัยอย่างเป็นขั้นเป็นตอน” เพื่อที่ว่ารัฐบาลชุดต่อไป ที่มีจุดยืนเหมือนกับรัฐบาลอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก
ขณะเดียวกัน สก็อตต์ ดีจาร์เลส์ สมาชิกสภาล่างสังกัดพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า การที่ปธน.ไบเดน กลับลำจากที่เคยประกาศจะคงนโยบายของรัฐบาลชุดก่อนไว้ว่าเป็น “ภัยโดยตรงต่อความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยต่อระบบสาธารณสุข”
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ