อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสภาวิจัยแห่งชาติสาขาเศรษฐศาสตร์ ชี้ 'Metaverse Economy' จะเป็นภาคต่อยอดของ 'Digital Economy' แนะภาคเอกชน-รัฐ เตรียมพร้อมรับมือ
เมื่อช่วงต้นเดือน พ.ย. 2564 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ และอดีตรองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการทางวิชาการ ม. รังสิต เปิดเผยว่า Metaverse Economy จะเกิดขึ้นเป็นภาคต่อยอดของ Digital Economy ซึ่งคิดว่าจะเกิดขึ้นได้เร็วและแรงกว่า Digital Economy แบบเดิมหรือการแพร่กระจายของสื่อสังคมออนไลน์ Social Media เดิมที่ใช้เวลาประมาณ 5-10 ปีในพลิกโฉมระบบเศรษฐกิจของหลายประเทศและหลายธุรกิจอุตสาหกรรม คาดว่าไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ไทยมีความพร้อมในเตรียมรับมือของกิจการต่าง ๆ ในระดับต่ำถึงปานกลาง ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ ภาควิชาการและโครงสร้างพื้นฐานยังมีความพร้อมไม่มากนัก จะอยู่ในฐานะผู้ซื้อและผู้ใช้เทคโนโลยีต่อไป ไม่ใช่ในฐานะผู้ผลิตหรือสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม แม้นไม่ได้เป็นเจ้าของเทคโนโลยี แต่ก็สามารถใช้ประโยชน์และสร้างนัยยสำคัญทางเศรษฐกิจ (Economic implications) ได้จาก Metaverse Economy คือ โอกาสทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลจากโลกใหม่ที่เป็นการหลอมรวมโลกจริงกับโลกเสมือนจริงผ่าน 3D virtual universe และเกิดสิ่งที่เป็น Second Life ซึ่งจะเป็นการทดลองครั้งสำคัญของ Virtual Economics นอกจากนี้จะเกิด Remote Work ขึ้นอย่างมากมาย และเป็นโอกาสของธุรกิจ Home Stay กิจการอสังหาริมทรัพย์บางประเภทและภาคท่องเที่ยวไทย และทำให้เกิด High Fidelity Mataverse ที่เป็น Open source tools สำหรับทุกคนในสร้างสิ่งที่ทุกคนฝันไว้และสามารถบันทึกไว้ใน Blockchain และนำมาขายได้ผ่าน High Fidelity Community การซื้อขายทางออนไลน์จะเปลี่ยนจากการเห็นเพียงข้อมูล รูปภาพหรือเสียง เป็นความสามารถในการสัมผัสสินค้าหรือบริการได้ และจะมีการพัฒนาสินค้าในรูปของดิจิทัลเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว เทคโนโลยีเสมือนจริงจะทำให้ภาคผลิตลดต้นทุนอย่างมหาศาลจากการลองผิดลองถูก การผลิตจะมีต้นทุนลดลง ความแม่นยำและประสิทธิภาพสูงขึ้น
ประเมินว่าการเกิดขึ้นของ Metaverse จะเปลี่ยนแปลง Disrupt ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ ระบบเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน และแนวโน้มนี้จะมาแรง เร็วและยาวนาน การพัฒนาขั้นสูงสุดของอินเตอร์เน็ตของ Metaverse 3 ของอินเทอร์เน็ต (Metaverse) เมื่อบวกเข้ากับ Quantum Computing แล้ว นั้นจะไปไกลกว่าอินเตอร์เนตที่อยู่ในมือถือ คอมพิวเตอร์หรือ IPad หรือ Laptop มากมาย ด้วยเทคโนโลยี 5G (และ 6G และ 7G ที่กำลังจะตามมา) ด้วยเทคโนโลยี VR, AR ด้วย Blockchian, NFTs, Machine learning (AI) ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะพร้อมแล้วที่จะทำให้รอยต่อระหว่างโลกกายภาพกับโลกดิจิทัลมันจะเชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อและไม่ก่อให้เกิดความสะดุดหยุดชะงัก วิเคราะห์โครงสร้าง Metaverse เกี่ยวข้องกับกิจการทั้ง ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จะทำให้เกิดการจ้างงานจำนวนหนึ่งจากการผลิตสินค้าและการให้บริการใหม่ ในขณะที่ตลอดทั้งกระบวนการของโครงสร้างนี้จะไป Disrupt กิจการเดิมและตลาดแรงงานเดิมค่อนข้างมากเช่นเดียวกัน
กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์เต็มที่และมีการขยายตัวสูง คือ กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม 5G-6G ที่ให้บริการโครงข่ายมือถือและ fixed Broadband จะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ กลุ่มสินค้าไอทีและอุปกรณ์ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ได้ประโยชน์เต็มที่ ธุรกิจฟินเทคและธุรกิจแพลตฟอร์ม ธุรกิจบันเทิงและการทำงานเสมือนจริง ในระยะยาวแล้วกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ คือ กิจการค้าปลีกแบบเดิม กลุ่มธุรกิจธนาคารและการลงทุนแบบเดิม ธุรกิจเกี่ยวกับการเป็นตัวแทนหรือคนกลางในภาคท่องเที่ยว ภาคการศึกษา ภาคบริการการเงินและการลงทุน ธุรกิจให้เช่าสำนักงาน ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมขนาดใหญ่ ส่วนกิจการพลังงานแบบเดิม น้ำมันปิโตรเลียม ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ในระยะยาวอุปสงค์จะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ
รศ.ดร.อนุสรณ์ ทำนายว่าผลิตภัณฑ์สินค้าและบริหารหลายอย่างจะหายไปจากตลาดและถูกแทนที่โดยสินค้าและบริการใหม่ ๆ จากผลของ Metaverse และ Quantum Computing ระบบเศรษฐกิจ ระบบการศึกษา ระบบการเงิน การท่องเที่ยว ความบันเทิง ระบบทำงาน ยังคงทำหน้าที่ของมันแต่มันจะมีรูปโฉมใหม่ และรูปโฉมใหม่นี้จะกลายเป็นภาวะปกติใหม่และเป็นความคุ้นชินใหม่โดยเฉพาะในสังคมหรือในประเทศที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี ความเหลื่อมล้ำอาจเพิ่มขึ้นหากการเข้าถึงต่างกันมาก จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการแก้ไขให้เกิดการเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสถาบันและกฎระเบียบให้สนับสนุนการเติบโตและการเข้าถึงอย่างเสมอภาค การปล่อยให้เพียงแค่กลไกปกติของกลไกตลาดจะเกิดความล้มเหลวในการเข้าถึงเกิดขึ้นโดยทั่วไป ต้องเข้าถึงได้ทุกคนไม่ใช่เฉพาะของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
คุณภาพชีวิตมนุษย์จะดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดพร้อมกับเสรีภาพในการเลือกจะสูงขึ้นมากหากเราอยู่ระบบเศรษฐกิจการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยและแบ่งบันอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม การออกแบบให้ระบบเศรษฐกิจและระบบการเมืองให้มีลักษณะดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานที่จะป้องกันไม่ให้เกิดภาวะอันไม่พึงประสงค์ของ Disruptive Technology โดยเฉพาะ Metaverse, Qauntum Computer
ตำแหน่งงานจำนวนมาก ๆ จะหายไปเช่นเดียวกับที่เราเกรงว่าระบบอัตโนมัติ หุ่นยนตร์และสมองกลอัจฉริยะจะมาแทนที่แรงงานมนุษย์ แต่หายไปขอตำแหน่งงานและการจ้างงานแบบดั้งเดิมจะเกิดขึ้นในอัตราเร่งมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม เศรษฐกิจไหนหรือสังคมไหนไม่เตรียมรับมือให้ดีจะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจการเมืองและสังคมอย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีใหม่ ๆ Megaverse, Quantum computing จะทำให้เกิดงานและลักษณะงานใหม่ ๆ และตำแหน่งงานใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมี ไม่เคยเกิดขึ้นในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา
เราสามารถทำงานจากที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ในโลกใบนี้โดยไม่ต้องเข้าไปในสถานที่ทำงานกายภาพ ณ ที่ตั้ง การลงทุนเพื่อการทำสำนักงานใหญ่โตจะเป็นต้นทุนที่ไม่จำเป็นยิ่งกว่ายุคไหนไหน เราสามารถศึกษาเรียนรู้ที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ รูปแบบของการศึกษาเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก การแพทย์ทางไกลจะเป็นไปได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ชีวิตโดยเฉลี่ยของมนุษยชาติควรยืนยาวขึ้น (หากไม่มีสงครามหรืออุบัติเหตุใหญ่ ๆ)
การใช้พลังงานฟอสซิลดั้งเดิมเพื่อการเดินทาง ขนส่งของระบบเศรษฐกิจโลกจะลดลงอย่างมหาศาล ส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศหรือ Eco System ของ Metaverse จะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ขอเสนอเพิ่มงบลงทุนวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและสนับสนุนการผลิตหุ่นยนต์ทางการแพทย์และเภสัชกรรม บริการทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขทางไกล เสนอปรับงบประมาณ 2565 และวางแผนงบปี 2566 ให้นำไปใช้ส่งเสริมงานวิจัยและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้เพียงพอ นอกจากนี้การลงทุนวิจัยเกี่ยวกับหุ่นยนต์นาโน (Nano-Robot) จะเป็นการพลิกโฉมวงการแพทย์ในการต่อสู้กับโรคระบาดอุบัติใหม่ในอนาคต ควรส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยและหน่วยงานทางวิจัยศึกษาเรื่อง Micro and Nabo-robotic Technology for medical and Pharmaceutical Application นอกจากนี้ควรมีงบประมาณในการจัดหาหุ่นยนต์ที่ใช้ในการติดตามผู้ป่วยบนหอผู้ป่วย ทั้ง Coivd และ Non-Covid เป็นหุ่นยนต์ที่แพทย์สามารถควบคุมจากระยะไกลผ่านระบบเครือข่ายโดยคอมพิวเตอร์ส่วนตัว โดยหุ่นยนต์จะมีกล้อง จอภาพ ไมโครโฟนและลำโพงเสียง รวมทั้ง หุ่นยนต์ผ่าตัด อย่างหุ่นยนต์ Da Vinci ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ และปัจจุบันนี้ได้ทำหน้าที่ผ่าตัดไปแล้วมากกว่า 200,000 ครั้ง หรือ หุ่นยนต์ทางการแพทย์ที่ทำงานพื้นฐานซึ่งมหาวิทยาลัยของไทยหลายแห่งผลิตได้แล้ว รัฐบาลควรมีการส่งเสริมให้ หน่วยวิจัยเหล่านี้ในมหาวิทยาลัยจับคู่กับผู้ประกอบการเพื่อสามารถผลิตในเชิงอุตสาหกรรมและมีแรงจูงใจเชิงพาณิชย์ เช่น หุ่นยนต์ส่งของในโรงพยาบาล หุ่นยนต์ช่วยยกผู้ป่วยขึ้นเตียง หุ่นยนต์เช็ดตัวผู้ป่วย วัดอุณหภูมิ วัดและทดสอบการติดเชื้อ ขณะนี้ หุ่นยนต์ทางการแพทย์มีความสำคัญมากเพื่อลดการติดเชื้อของบุคลากรทางแพทย์ที่เพิ่มสูงขึ้น
รศ.ดร.อนุสรณ์ ยังกล่าวอีกว่าการหลอมรวม (Convergence) บูรณาการ (Intergration) และการทำงานแบบเครือข่าย (Internetworking) มีการหลวมรวมของภาคเศรษฐกิจสำคัญและกิจการหลายอย่างเข้าด้วยกัน เช่น การหลอมรวมกิจการทางด้านโทรคมนาคม กับเทคโนโลยีสารสนเทศ และสื่อสารมวลชน มีการบูรณาการกันระหว่างธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมกับธุรกิจบริการทางการเงิน มีการทำงานแบบเครือข่ายเพิ่มขึ้นในภาคการผลิต ภาคบริการอย่างมากมายอันเป็นผลจากเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการเชื่อมโยงได้มากขึ้น เศรษฐกิจยุคดิจิทัลทำให้เกิดการทำงานแบบเครือข่าย เชื่อมโยงทุกอย่างเข้ากับโลกอินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะเป็น ระบบการผลิต หุ่นยนต์ เครื่องจักรอัตโนมัติและการทำงานของมนุษย์ เครื่องจักรในโรงงานหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องมือสื่อสาร มือถือและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สามารถทำงานประสานกันแบบอย่างมีพลวัต (Dynamic) มีการสื่อสารระหว่างเครื่องจักรกับเครื่องจักร (M2M) และ เครื่องจักรกับมนุษย์ (M2H) ก่อให้เกิดแพลตฟอร์มหรือโครงสร้างพื้นฐานการทำงาน Digital Platform ได้ทุกพัฒนามากขึ้นจนกลายเป็นธุรกิจสำคัญ
กระบวนการเปลี่ยนสู่ดิจิทัล (Digitization) และ เป็นโลกเสมือนจริง (Virtualization) เป็นระบบเศรษฐกิจที่ทำงานอยู่บนเครือข่ายอินเตอร์เนตและเทคโนโลยีดิจิทัล การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวนำในกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆการดำเนินกิจการต่างๆขององค์กรหรือปัจเจกบุคคล การสร้างการเติบโตทางธุรกิจ มีลักษณะเด่นอยู่ 3 ประการคือ 1. การใช้ทรัพยากรเมื่อต้องการ (Resource on Demand) ภายใต้เศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy) ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากกำลังการผลิตที่เหลือของทรัพยากรหรือสินทรัพย์ที่มีอยู่ 2. การใช้ศักยภาพของบุคลากรเมื่อต้องการ (Talent on Demand) ในรูปแบบของแรงงานอิสระ (Freelance Workforce) คำว่า “Freelance” หรือ “Freelancer” คือผู้มีอาชีพอิสระไม่ขึ้นตรงต่อหน่วยงานองค์กรใดๆ 3. การแสวงหาความรู้และข้อมูลที่จำเป็นเมื่อต้องการ (Intelligence on Demand) ผ่านทาง Crowds และ Cloud โดยการกระจายปัญหาไปยังชุมชน Online หรือในโลก Cyber เทคโนโลยีที่เป็นเสาหลักในยุค Digital Economy ประกอบด้วย ระบบไซเบอร์ (Cyber Physical System) ระบบประมวลผลแบบคลาวด์ (Cloud Computing) การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) ระบบความปลอดภัย (System Security) ระบบการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) เทคโนโลยีการผสมผสานโลกเสมือน (Augmented Reality) และหุ่นยนต์ที่ออกแบบขึ้นมาโดยมีพื้นฐานเลียนแบบร่างกายมนุษย์ (Humanoid Robots) การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุค Digital Economy จะอาศัยการพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นตัวนำ ทำให้สภาพแวดล้อม ในการทำงาน รูปแบบกระบวนการทำงานและกลยุทธ์รวมทั้งโครงสร้างองค์กรแตกต่างออกไปจากเดิม
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ