มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาเผยแรงงานข้ามชาติหญิงได้รับการปล่อยตัวจากการควบคุมของรัฐเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2564 หลังพิสูจน์ได้ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้บันทึกข้อมูลการต่อใบอนุญาตทำงาน
เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2564 ผู้ประสานงานโครงการและนักกฎหมายมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา ได้เดินทางไปยังสถานกักตัวคนต่างด้าวบางเขนเพื่อรับตัวนางสาวป. แรงงานหญิงชาวเมียนมา หลังจากที่ต้องต่อสู้ในคดีที่ถูกกล่าวหาว่า เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต ตามพระราชกำหนดบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 ที่มีโทษปรับสูงสุด 50,000 บาท และจะไม่ได้รับอนุญาตทำงานในราชอาณาจักรไทยอีกเป็นระยะเวลา 2 ปี
ที่มาของคดีนี้สืบเนื่องจาก
1. เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2564 มีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 2 และเจ้าหน้าที่จากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงกรุงเทพมหานครตรวจสอบแรงงานในบริษัทที่แรงงานข้ามชาติหญิง ป. ทำงานอยู่และพบว่าใบอนุญาตทำงานของนาวสาวป. หมดอายุ จึงดำเนินคดีในข้อหา เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต ตามพรก.ฯ และพนักงานตำรวจได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับและให้นางสาวป. เข้าสู่กระบวนการผลักดันออกนอกราชอาณาจักรตามกฎหมาย
2. หลังจากที่มูลนิธิฯตรวจสอบข้อเท็จจริงและเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้วพบว่า นางสาวป.เป็นแรงงานที่ขึ้นทะเบียนเป็นแรงงานข้ามชาติตามกฎหมายประเภทข้อตกลงระหว่างรัฐหรือ MOU และใบอนุญาตให้ทำงานได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2564 จึงได้ดำเนินการยื่นคำขอต่อใบอนุญาตทำงานต่อสำนักงานจัดหางานกรุงเทพฯ พื้นที่ 2 ล่วงหน้าก่อนที่ใบอนุญาตทำงานจะหมดอายุ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่พบข้อมูลในระบบทะเบียนแรงงานข้ามชาติ
ทางมูลนิธิฯ จึงได้ประสานไปยังหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี ดังนี้
สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อให้ปล่อยตัวนางสาวป. เนื่องจากเห็นว่าเป็นแรงงานข้ามชาติที่ได้รับการยกเว้นตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมาลงวันที่ 3 ส.ค. 2564 ซึ่งกำหนดให้แรงงานข้ามชาติที่ใบอนุญาตทำงานสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2564 ถึงวันที่ 3 ส.ค. 2564 สามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้เป็นการชั่วคราวและให้ดำเนินการต่อใบอนุญาตภายในวันที่ 2 ธ.ค. 2564 ทั้งนี้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้ตอบเป็นหนังสือถึงกรณีดังกล่าวว่า นางสาวป. ไม่เป็นบุคคลต่างด้าวที่กำหนดไว้ในประกาศฯ ดังกล่าว
กรมการจัดหางาน เพื่อหารือด่วนในประเด็นว่านางสาวป. เป็นแรงงานที่ได้รับการยกเว้นตามประกาศกระทรวงมหาดไทยหรือไม่ ต่อมาวันที่ 15 กันยายน 2564 กรมการจัดหางานได้ตอบเป็นหนังสือว่านางสาวป.ให้การยอมรับตามข้อกล่าวหาเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน แม้นายจ้างจะมายื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าว นายทะเบียนก็ไม่อาจอนุญาตทำงานได้
ต่อมามูลนิธิฯ ได้ข้อเท็จริงเพิ่มเติม ว่านางสาวป. ได้ยื่นคำขอต่อใบอนุญาตทำงานไว้ก่อนใบอนุญาตทำงานจะหมดอายุจึงแจ้งข้อมูลไปยังกรมการจัดหางาน และกรมฯได้ตอบกลับเป็นหนังสือในวันที่ 28 ก.ย. 2564 ว่านางสาวป. ได้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานและให้สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 2 ดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตทำงาน และประสานให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองปล่อยตัว การที่นางสาวป. ยื่นคำขอต่อใบอนุญาตทำงานก่อนที่ใบอนุญาตจะหมดอายุตามมาตรา 67 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกำหนดการบริหารการจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และไม่ปรากฏว่านายทะเบียนได้มีคำสั่งไม่ต่ออายุใบอนุญาตทำงาน จึงมีสิทธิทำงานไปพลางก่อนจนกว่านายทะเบียนจะมีคำสั่งไม่ต่อใบอนุญาตทำงาน ตามมาตรา 67 วรรคสอง นางสาวป. จึงไม่ได้กระทำความผิดตามข้อหาเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 8 มีโทษตามมาตรา 101 แห่งพระราชกำหนดฯ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ด้วยเหตุนี้นางสาวป. กรมการจัดหางานได้สั่งให้ สำนักงานจัดหางานกรุงเทพฯ พื้นที่ 2 พิจารณาคำขอต่ออายุใบอนุญาตให้สามารถกลับมาทำงานได้ และได้ส่งหนังสือฉบับนี้ไปยังพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาปล่อยตัวต่อไป ทั้งนี้เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้เดินทางไปรับนางสาวป. ณ สถานที่กักตัวคนต่างด้าวและประสานงานกับนายจ้างเพื่อรับกลับเข้าทำงานตามเดิม
ว่าที่ ร.ต.วัชรวิชญ์ วุฒิพัชระพัชร์ นักกฎหมายมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา สำนักงานสาขาจังหวัดสมุทรสาคร มีความเห็นว่า กรณีที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องของระบบการบันทึกข้อมูลการต่อใบอนุญาตและข้อมูลการทำงานของแรงงานข้ามชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งเป็นอุปสรรคในการต่อใบอนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติ ความบกพร่องของระบบทำให้แรงงานข้ามชาติต้องตกเป็นผู้ต้องหาถูกพรากสิทธิและเสรีภาพโดยไม่ได้กระทำความผิด
นางสาวป. จึงควรได้รับการเยียวยาจากหน่วยงานที่รับผิดชอบตามสมควรจากเรื่องที่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นข้อบกพร่องผิดพลาดของเจ้าหน้าที่เองที่ไม่ตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัด ทั้งที่ได้ยื่นคำขอต่อใบอนุญาตทำงานไว้ก่อนใบอนุญาตทำงานจะหมดอายุแล้ว โดยปรากฏหลักฐานตามใบเสร็จรับเงินจากหน่วยงานดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้านี้มีการร้องเรียนจากแรงงานข้ามชาติไม่น้อยจากหลากหลายพื้นที่ว่าไม่สามารถต่อใบอนุญาตทำงานได้เนื่องจากไม่ได้บันทึกข้อมูลการทำงานและการขอต่ออายุใบอนุญาตทำงาน จึงขอให้กรมการจัดหางานแจ้งสำนักงานจัดหางานในทุกพื้นที่ ให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบได้บันทึกข้อมูลการทำงานของแรงงานข้ามชาติทันทีที่มีการยื่นคำขอหรือดำเนินการที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่เกิดปัญหาที่ตามมาและจับกุมในลักษณะดังกล่าวอีกและให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกระทรวงแรงงานที่ให้มีการปรับปรุงกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการทั่วไปและแนวปฏิบัติการเพื่อการจัดหางานที่เป็นธรรม (General principles and operational guidelines for fair recruitment) ขององค์การด้านระหว่างระหว่างประเทศ หรือ ILO ที่รัฐบาลไทยเป็นผู้ร่วมร่างหลักการดังกล่าว
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ