ปัญหาใหญ่ของการผลักดันและเสนอ ‘ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. ....’ ฉบับที่ประชาชนเข้าชื่อกว่าหนึ่งหมื่นรายชื่อ ประการแรก คือ นิยามองค์กรภาคประชาสังคมกว้างขวางเกินจริง โดยกำหนดนิยามความหมายของ ‘องค์กรภาคประชาสังคม’ เข้าไปครอบ ‘ขบวนประชาชน’ จนหมดสิ้น[1] ทั้ง ๆ ที่พฤติกรรมจำนวนมากของประชาสังคม/องค์กรภาคประชาสังคมในบริบทของสังคมและการเมืองไทยมักปฏิเสธหรือมีทัศนคติเป็นลบต่อ ‘การเคลื่อนไหว’ บนท้องถนนของขบวนประชาชนที่เรียกร้องความเป็นธรรมด้านต่าง ๆ หรือต่อสู้คัดค้านโครงการพัฒนา นโยบายและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม มาโดยตลอด แต่พยายามให้ขบวนประชาชนเน้นที่ ‘การเจรจาต่อรอง’ กับรัฐและทุนเป็นหลัก
ประการที่สอง คือ การเลือกผลักดันและเสนอร่างกฎหมายแบบหวังพึ่งบารมีผู้มีอำนาจที่ได้อำนาจมาโดยไม่ถูกต้องชอบธรรมมากเกินไปของเอ็นจีโอ ประชาสังคมและนักวิชาการกลุ่มหนึ่งซึ่งมีวาระซ่อนเร้น/แอบแฝงที่ทำกันเป็นขบวนการต่อเนื่องมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่รัฐประหาร ๒๕๔๙ ที่พยายามจะควบคุมสิทธิและเสรีภาพของประชาชนให้เป็นเด็กดีของรัฐให้มากยิ่ง ๆ ขึ้น
พฤติกรรมหวังพึ่งบารมีผู้มีอำนาจที่ได้อำนาจมาโดยไม่ถูกต้องชอบธรรมมากเกินไป ก็คือ ด้านหนึ่งคบหาสมาคมกับเพื่อนพี่น้องในแวดวงเอ็นจีโอ ประชาสังคม นักวิชาการ นักกฎหมาย องค์กรชุมชน ขบวนประชาชน และองค์กรอื่นใดก็ตามที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ก็ตาม ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ของชุมชน ท้องถิ่น สังคมหรือส่วนรวมโดยไม่แสวงหากําไรมาแบ่งปันกัน เพื่อขายฝันว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะมี ‘กองทุนส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม’ ที่ได้เงินบางส่วนจากการขายลอตเตอรี่ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และงบประมาณจากแหล่งอื่น ๆ ของรัฐและเอกชน มาให้แก่ขบวนประชาชนดำเนินกิจกรรมด้านต่าง ๆ ให้มากขึ้นจากกองทุนที่มีอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วในสององค์กรอย่างสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
อีกด้านหนึ่งก็เอาตัวเองเข้าไปเป็นเครื่องมือและกลไกของรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. โดยรัฐบาลดังกล่าวออกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกาศ ณ วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๘ และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๔๔/๒๕๕๙ เรื่อง แต่งตั้งกรรมการและเลขานุการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และ รองประธานกรรมการคนที่สอง ในคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม (คสป.) สั่ง ณ วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ รวมถึงเข้าไปร่วมมือกับองค์กรอิสระอย่างสำนักงานสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ที่มีหัวหน้าองค์กรเป็นพวกขวาตกขอบอย่างพลเดช ปิ่นประทีป ให้ก่อตั้งสถาบันส่งเสริมภาคประชาสังคม (สสป.) ขึ้นมา เพื่อให้เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เชื่อมประสานกับ คสป. ที่รัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. แต่งตั้งขึ้นตามระเบียบและคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีตามที่ได้กล่าวมา
ความสัมพันธ์แบบหวังพึ่งบารมีผู้มีอำนาจที่ได้อำนาจมาโดยไม่ถูกต้องชอบธรรมมากเกินไปแบบนี้ที่หวังว่า ‘ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. ....’ จะถูกตราเป็นกฎหมาย/พระราชบัญญัติใช้บังคับในยุคที่เผด็จการทหารมีอำนาจ เพื่อจะทำให้ขบวนประชาชนมีกองทุนเพิ่มขึ้นมาอีกกองทุนหนึ่งนั้น สุดท้ายกลับโดนตลบหลังด้วยการที่รัฐบาลประยุทธ์ ๒ (ซึ่งเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้งเมื่อปี ๒๕๖๒ ที่วางกลไกสืบทอดอำนาจต่อเนื่องมาจากรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช.) มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ ๒๓ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เห็นชอบ ‘ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน พ.ศ. ....’ ขึ้นมาแทน ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่มีพัฒนาการมาจาก ‘ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. ....’ ฉบับที่ประชาชนเข้าชื่อกว่าหนึ่งหมื่นรายชื่อนั่นเอง
ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องยิ่งขึ้นก็ต้องบอกว่า ‘ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน พ.ศ. ....’ เกิดขึ้นจากการคบหาสมาคมระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มเอ็นจีโอ ประชาสังคมและนักวิชาการที่เข้าไปเป็นเครื่องมือและกลไกของรัฐบาลโดยเข้าไปเป็นกรรมการ อนุกรรมการและที่ปรึกษาใน คสป. ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบและคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีตามที่ได้กล่าวไว้แล้ว (และรวมถึงกลุ่มเอ็นจีโอ ประชาสังคมและนักวิชาการที่เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งสถาบันส่งเสริมภาคประชาสังคม (สสป.) ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่โน้มน้าวเพื่อนพี่น้องในแวดวงเอ็นจีโอ ประชาสังคม นักวิชาการ นักกฎหมาย องค์กรชุมชน ขบวนประชาชน และองค์กรอื่นใดก็ตามที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ก็ตาม ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ของชุมชน ท้องถิ่น สังคมหรือส่วนรวมโดยไม่แสวงหากําไรมาแบ่งปันกัน ให้เกิดการเชื่อมประสานกับ คสป. ด้วย)
ความเลวร้ายของ ‘ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน พ.ศ. ....’ (ร่างฯองค์กรไม่แสวงหารายได้) เมื่อเทียบกับ ‘ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. ....’ (ร่างฯองค์กรภาคประชาสังคม) ซึ่งมีเนื้อหาต่างกันราวฟ้ากับเหวตรงที่ร่างฯองค์กรภาคประชาสังคมมีเนื้อหาเพียงว่าขบวนประชาชนใดที่ต้องการได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนและปัจจัยดำเนินงานอื่น ๆ จากรัฐจะต้องจดทะเบียนตามที่กฎหมายกําหนด (ไม่ได้บังคับให้จดทะเบียน แต่ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ และไม่มีบทลงโทษใด ๆ) แต่ร่างฯองค์กรไม่แสวงหารายได้กำหนดเงื่อนไขบังคับ ดังนี้
(๑) ต้องจดแจ้งการเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันกับกรมการปกครองซึ่งเป็นผู้รับจดแจ้ง ถ้าไม่ยอมจดแจ้งจะมีบทลงโทษสูง โดยจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(๒) กำหนดให้องค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันจะดำเนินกิจกรรมในราชอาณาจักรไม่ได้ถ้าไม่ยอมจดแจ้งตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐกำหนด
(๓) ต้องเปิดเผยแหล่งที่มาและจำนวนของเงินหรือทรัพย์สินที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรมในแต่ละปี และต้องยื่นแบบรายการภาษีเงินได้ทุกปี
(๔) ต้องเสนอรายงานการสอบบัญชี โดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาตต่อผู้รับจดแจ้งภายใน 60 วัน นับแต่วันสิ้นปีบัญชี และให้ผู้รับจดแจ้งเผยแพร่ต่อสาธารณะ
(๕) กำหนดให้องค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันจะรับเงินหรือทรัพย์สินจากบุคคลธรรมดา นิติบุคคล หรือคณะบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย หรือไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งในไทย มาใช้ในการดำเนินกิจกรรมในไทยไม่ได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจกรรมนั้น ๆ
ประเด็นที่ข้อเขียนนี้ต้องการชี้ให้เห็นไม่ใช่เรื่องของความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และความปรารถนาดีที่ยังมีอยู่ของกลุ่มเอ็นจีโอ ประชาสังคมและนักวิชาการที่เข้าไปเป็นเครื่องมือและกลไกให้กับรัฐบาล (ถึงแม้จะเข้าไปแบบหวังพึ่งบารมีผู้มีอำนาจที่ได้อำนาจมาโดยไม่ถูกต้องมากเกินไปก็ตาม) เพื่อหาช่องทางนำเสนอและผลักดันร่างกฎหมายอันเป็นประโยชน์ต่อขบวนประชาชนโดยรวม แต่สิ่งที่ต้องการชี้ให้เห็นก็คือ หนึ่ง-การเข้าไปเป็นเครื่องมือและกลไกให้กับรัฐบาลเพื่อต้องการนำเสนอและผลักดันร่างกฎหมายอันเป็นประโยชน์ (และมีผลกระทบด้วย) ต่อขบวนประชาชนอย่างกว้างขวางกลับมีแต่บุคคลที่มีทัศนคติคับแคบต่อประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน สิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นส่วนใหญ่ เพราะส่วนใหญ่ของกลุ่มบุคคลดังกล่าวล้วนสนับสนุนรัฐประหารทั้งสองครั้งที่ผ่านมา นิ่งเฉยต่อการลุกขึ้นมาเรียกร้องประชาธิปไตยและการละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิและเสรีภาพของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ จากความขัดแย้งทางสังคมและการเมืองตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา และ สอง-เป็นร่างกฎหมายที่มีกระบวนการปรึกษาหารือกันในขบวนประชาชนไม่กว้างขวางหรือไม่ได้สัดส่วนกับขนาด/จำนวน/ปริมาณของขบวนประชาชนเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับการผลักดันและเสนอร่างพระราชบัญญัติบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... ของเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการที่มีกระบวนการผลักดันและเสนอร่างกฎหมายจากขบวนประชาชนกลุ่มต่าง ๆ อย่างกว้างขวางและครอบคลุมมากกว่า
และเมื่อมองดูปรากฎการณ์ ณ เวลานี้ของขบวนประชาชน ข้อสังเกตุประการหนึ่งก็คือกลุ่มเอ็นจีโอ ประชาสังคมและนักวิชาการที่ชักนำขบวนประชาชนเข้าชื่อเสนอร่างฯองค์กรภาคประชาสังคมซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อขบวนประชาชนโดยรวมกลับไม่เคยแสดงท่าทีสนับสนุนการเรียกร้องให้ปล่อยผู้ถูกจับกุมคุมขังทางการเมืองที่ถูกจับกุมคุมขังโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างเป็นเรื่องเป็นราวแม้สักครั้งเดียว คำถามคือ เงินทุนหรือการสนับสนุนอื่น ๆ ที่ขบวนประชาชนต่าง ๆ จะได้จากร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นขบวนประชาชนแบบไหน อย่างไร ? หรือขบวนประชาชนที่เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและการละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิและเสรีภาพของประชาชนถูกกันออกจากขบวนประชาชนตามร่างกฎหมายนี้หรือไม่ อย่างไร ?
ดังนั้น ถ้าจะต้องสรุปและถอดบทเรียนในเรื่องนี้ ก็ควรสรุปและถอดบทเรียนให้เห็นถึงความผิดพลาดจากฝ่ายเราด้วย ไม่ใช่สรุปและถอดบทเรียนเพื่อให้เห็นแต่ความผิดพลาดจากรัฐฝ่ายเดียว ซึ่งจะทำให้เห็นข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน
[1] ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. .... ฉบับที่ประชาชนเข้าชื่อกว่าหนึ่งหมื่นรายชื่อ มาตรา ๓ ระบุว่า “องค์กรภาคประชาสังคม” หมายความว่า องค์กรที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรธุรกิจ ไม่ว่าจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ก็ตาม จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ของชุมชน ท้องถิ่น สังคมหรือส่วนรวมโดยไม่แสวงหากําไรมาแบ่งปันกัน แต่ไม่รวมถึงนิติบุคคล องค์กรหรือคณะบุคคลที่จัดตั้งและดําเนินการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พรรคการเมือง องค์กรธุรกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ ทั้งโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ