สื่อ VOA รายงานว่าธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาเติบโตขึ้นมากในจีน ทำให้รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการเพื่อควบคุมเข้มงวดมากขึ้น แต่ผู้ปกครองจีนร้องว่าจะทำให้หายากและราคาแพงขึ้น | ที่มาภาพประกอบ: Yao Jun/Reuters (อ้างใน SupChina)
VOA รายงานเมื่อต้นเดือน ก.ค. 2564 ว่าหลังจากที่จีนเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจซึ่งพึ่งพาการเกษตรและอุตสาหกรรมการผลิตมาสู่เศรษฐกิจภาคบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้วนั้น ผู้ปกครองในประเทศจีนได้พบว่าหนทางสู่ความสำเร็จในชีวิตของบุตรหลานของตนคือการได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีชื่อเสียง
และเรื่องดังกล่าวทำให้ธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาเติบโตขึ้นมาก แต่เมื่อกลางเดือน มิ.ย. 2021 รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการเพื่อควบคุมโรงเรียนกวดวิชาและเรื่องนี้ก็ทำให้ผู้ปกครองบางคนเป็นกังวล
คุณเฮเลน กุยเป็นชนชั้นกลางชาวจีนผู้ทำงานกับบริษัทต่างชาติ เธอมีลูกสาวคนเดียวอายุ 10 ปีซึ่งขณะนี้เรียนอยู่ชั้นประถมห้า แต่แม้จะยังอยู่ในโรงเรียนประถมลูกสาวของคุณเฮเลนก็ต้องใช้เวลาสัปดาห์ละ 3 ชั่วโมงเพื่อกวดวิชาภาษาอังกฤษ 3 ชั่วโมงสำหรับวิชาคณิตศาสตร์ 3 ชั่วโมงสำหรับการเรียนภาษาจีนเพิ่มเติมและอีก 1 ชั่วโมงเพื่อกิจกรรมนอกหลักสูตร เช่น การว่ายน้ำและเรียนเปียโนพร้อมทั้งอีกสัปดาห์ละ 90 นาทีเพื่อฝึกฝนการสนทนาภาษาอังกฤษแบบออนไลน์กับครูผู้สอนชาวต่างชาติด้วย
คุณเฮเลน กุยประมาณว่าค่าใช้จ่ายสำหรับการกวดวิชาและการเรียนหลักสูตรพิเศษเหล่านี้ตกปีละ 16,000 ดอลลาร์หรือกว่า 500,000 บาทไทยซึ่งแม้จะดูสูงแต่ก็จำเป็นเพื่อเป็นหลักประกันว่าบุตรสาวของเธอจะทำคะแนนได้ดีในโรงเรียนและทำคะแนนการทดสอบได้ดีเพื่อให้มีโอกาสได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำซึ่งมีชื่อเสียงเพื่อให้ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น
แต่เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการของจีนได้ออกระเบียบใหม่ซึ่งเป็นข้อจำกัดเรื่องการเรียนพิเศษหรือการกวดวิชาของเด็กนักเรียน
และสำหรับพ่อแม่ชาวจีนแล้วส่วนหนึ่งอาจจะมองว่าเป็นความพยายามเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรหลานขณะที่รัฐบาลจีนกำลังเปลี่ยนนโยบายและเรียกร้องให้ครอบครัวจีนมีบุตรเพิ่มขึ้นได้เป็นสองหรือสามคนเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนประชากรในตลาดแรงงาน แต่สำหรับพ่อแม่บางคนเรื่องนี้เป็นการจำกัดโอกาสและจะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านนี้ยิ่งสูงขึ้น
กระทรวงศึกษาธิการของจีนได้ประกาศตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อควบคุมโรงเรียนกวดวิชานอกสถานศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมปลายโดยให้เหตุผลกว้างๆ ว่าเพื่อลดภาระด้านวิชาการของนักเรียนรวมทั้งเพื่อควบคุมบริการกวดวิชาของภาคเอกชนทั้งในแง่เนื้อหา ตารางการสอน ราคาและคุณสมบัติของผู้สอนด้วย
แต่ผู้ปกครองซึ่งเป็นชนชั้นกลางของจีนอย่างคุณเฮเลน กุยกังวลว่ามาตรการควบคุมดังกล่าวจะทำให้โรงเรียนกวดวิชาของภาคเอกชนบางแห่งต้องปิดตัวลงและเธอรวมทั้งผู้ปกครองคนอื่นอีกหลายคนจะต้องจ่ายเงินแพงขึ้นสำหรับบริการกวดวิชาแบบตัวต่อตัว
เธอบอกด้วยว่าปัญหาในขณะนี้ก็คือนักเรียนแต่ละคนจะถูกวัดประเมินจากคะแนนการสอบ ดังนั้นการจำกัดหรือควบคุมโรงเรียนกวดวิชาจะไม่สร้างผลเปลี่ยนแปลงอะไรตราบเท่าที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยยังมีการแข่งขันอย่างสูงและยังเน้นที่คะแนนทางวิชาการอยู่
ส่วนผู้ปกครองรายอื่นของจีนก็ได้แสดงความเห็นทางสื่อสังคมออนไลน์ว่านโยบายของรัฐบาลจีนขณะนี้อนุญาตให้เพียงครึ่งหนึ่งของนักเรียนจีนที่จบการศึกษาระดับมัธยมสามเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมปลาย โดยอีกครึ่งหนึ่งต้องไปเรียนต่อสายอาชีวะ และจากการกำหนดโควต้าดังกล่าวจะมีผู้ปกครองคนใดที่ต้องการให้ลูกหลานของตนเรียนสายอาชีวะเพราะส่วนใหญ่แล้วย่อมต้องการให้ทายาทของตระกูลได้เข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยกันทั้งสิ้น
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ People’s Daily ของจีนเมื่อปี 2016 นั้นธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาของจีนมีตลาดมูลค่าประมาณ 1 แสน 2 หมื่น 3,500 ล้านดอลลาร์และจ้างงานผู้คนหลายหมื่นคน และสำหรับครอบครัวของชนชั้นกลางชาวจีนการส่งลูกหลานเข้าเรียนพิเศษและกวดวิชานั้นเป็นความจำเป็นของชีวิตเหมือนกับการตรวจสุขภาพประจำปีเลยทีเดียว
ตัวเลขของสมาคมสังคมศาสตร์นครเซี่ยงไฮ้เมื่อปี 2019 ระบุว่าการเลี้ยงลูกหนึ่งคนตั้งแต่เกิดจนถึงระดับมัธยมต้นต้องใช้เงินเฉลี่ยราว 130,000 ดอลลาร์หรือประมาณสี่ล้านบาทไทยโดยในจำนวนนี้ประมาณ 60% หรือ 2 ล้าน 5 แสนบาทไทยเป็นค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา
และด้วยเหตุผลนี้คุณเฮเลน กุยจึงบอกว่าเธอกับสามีไม่มีแผนจะมีลูกคนที่สอง เพราะยิ่งลูกโตขึ้นก็ยิ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นโดยครอบครัวส่วนใหญ่ที่อาศัยในเขตเมืองใหญ่ของจีนที่เธอรู้จักนั้นไม่มีใครอยากมีลูกคนที่สองหรือสามเลย เพราะการมีลูกคนเดียวก็เหนื่อยและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากพออยู่แล้ว
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ