กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ห้ามนำเข้าเศษพลาสติกอย่างเด็ดขาดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป พร้อมผลักดันใช้ประโยชน์เศษพลาสติกในประเทศทั้งหมด
ช่วงต้นเดือน ส.ค. 2564 ที่ผ่านมา สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่านายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้เน้นย้ำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีนโยบายส่งเสริมการใช้เศษพลาสติกในประเทศให้มากที่สุด โดยมติเดิมห้ามนำเข้าเศษพลาสติกภายในปี 2563 ส่วนใหญ่เป็นเศษพลาสติกชนิดประเภทคืนรูป หรือ PET แต่เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้พิจารณาครอบคลุมเศษพลาสติกทุกชนิดพบมีเศษพลาสติกบางชนิดไม่เพียงพอในประเทศ จึงได้กำหนดให้นำเข้าเศษพลาสติก แต่ให้นำเข้าเพียงร้อยละ 50 ของกำลังการผลิต หรือไม่เกิน 250,000 ตันในปีนี้ จากนั้นจะลดลงปีละร้อยละ 20 โดยปี 2565 จะนำเข้าไม่เกิน 200,00 ตัน , ปี 2566 จะนำเข้าไม่เกิน 150,00 ตัน , ปี 2567 จะนำเข้าไม่เกิน 100,000 ตัน , ปี 2568 จะนำเข้าไม่เกิน 50,000 ตัน และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไปประเทศไทยจะห้ามนำเข้าเศษพลาสติกอย่างเด็ดขาดแล้วให้ใช้เศษพลาสติกในประเทศ 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากคำนึงด้านสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญพิจารณาการนำเข้า เพื่อไม่ให้ประเทศไทยเป็นถังขยะโลกรองรับเศษซากขยะจากประเทศอื่นๆ โดยกระทรวงพาณิชย์จะนำไปกำหนดเป็นเงื่อนไขการออกประกาศอนุญาตผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าทุกราย สำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่เขตปลอดอากรและเขตประกอบการเสรี ปัจจุบันนำเข้าเศษพลาสติกประมาณ 70,000 ตัน ในระยะเวลาอันใกล้จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขเดียวกัน
อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวย้ำว่าขณะที่การพิจารณาผ่อนปรนการนำเข้าเศษพลาสติกได้คำนึงถึงความสมดุลของสองฝ่ายทั้งผู้ที่ต้องการนำเข้าและไม่ต้องการให้นำเข้าเศษพลาสติก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน ทั้งนี้ ภาครัฐจะเร่งส่งเสริมให้คัดแยกขยะเพื่อให้ได้พลาสติกที่มีคุณภาพ ไม่ปนเปื้อน และสามารถนำไปเป็นวัตถุดิบได้เลย พร้อมจัดเวทีพบปะระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ซึ่งเป็นการส่งเสริมการรีไซเคิลพลาสติกในประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คู่ขนานกับการลดการนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ