คดีฆาตกรรมในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น แม้รัฐบาลใช้ปฏิบัติการปราบปรามเต็มขั้น

กองบรรณาธิการ TCIJ 18 ม.ค. 2564 | อ่านแล้ว 1414 ครั้ง

คดีฆาตกรรมในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น แม้รัฐบาลใช้ปฏิบัติการปราบปรามเต็มขั้น

รายงานของสื่อ VOA เผยคดีฆาตกรรมในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น แม้รัฐบาลใช้ปฏิบัติการปราบปรามเต็มขั้น ผู้เชี่ยวชาญชี้การฆาตกรรมและการใช้ความรุนแรงถูกกระตุ้นจากทั้งการระบาดของ COVID-19 เศรษฐกิจที่ทรุดตัวลงอย่างหนัก และการประท้วงต่อต้านตำรวจจากการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์

VOA รายงานเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2021 ว่าก่อนออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนที่แล้ว วิลเลียม บาร์ อดีตรัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ กล่าวอ้างถึงความสำเร็จของ “Operation Legend” ซึ่งเป็นปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่เริ่มใช้ในเมืองแคนซัสซิตี รัฐมิสซูรี เป็นที่แรก เมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา โดยเป็นปฏิบัติการที่มีขึ้นเพื่อช่วยให้เมืองใหญ่ๆ รับมือกับคดีฆาตกรรมที่พุ่งสูง

ปฏิบัติการดังกล่าวตั้งชื่อตามชื่อของลีเจนด์ ทาลิเฟอร์โร เด็กชายวัยสี่ขวบที่ถูกยิงเสียชีวิตขณะนอนหลับอยู่ในบ้าน ในเมืองแคนซัสซิตี เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน

โครงการ Operation Legend นี้ มีงบประมาณกว่า 60 ล้านดอลลาร์ พุ่งเป้าไปที่เมืองที่มีอัตราอาชญากรรมสูงเก้าเมือง โดยเป็นความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายทั้งระดับรัฐบาลกลาง ระดับรัฐ และระดับท้องถิ่น

เจ้าหน้าที่หลายร้อยคนจากสำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ หรือ FBI สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางอื่นๆ ร่วมมือกับตำรวจท้องถิ่นในเมืองเหล่านี้ เพื่อปราบปรามอาชญากร ทำการจับกุม และยึดอาวุธบนท้องถนน

อดีตรมต. บาร์ ระบุว่า ปฏิบัติการ Operation Legend สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้กว่า 6,000 ครั้ง ยึดปืนได้กว่า 2,600 ครั้ง และยึดยาเสพติดผิดกฎหมายได้หลายร้อยกิโลกรัม โดยเขากล่าวในแถลงการณ์ว่า ผลลัพธ์ของโครงการนี้ “ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด” ขณะที่สหรัฐฯ เผชิญหน้ากับการระบาดของโควิด-19 อยู่

อย่างไรก็ตาม บาร์กลับไม่ได้ระบุว่า ปฏิบัติการภาครัฐนี้สามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดในการสกัดกั้นความรุนแรงได้หรือไม่ โดยในขณะที่พื้นที่ในเขตเมืองและปริมณฑล 2-3 แห่งมีอัตราการฆาตกรรมลดลงชั่วคราวในช่วงฤดูร้อน การฆาตกรรมกลับพุ่งสูงขึ้นในเก้าเมืองที่เป็นเป้าหมายของปฏิบัติการ รวมถึงในเมืองอื่นๆ ด้วย

จากข้อมูลทางตำรวจที่วีโอเอรวบรวม พบว่า การฆาตกรรมในปีที่แล้วพุ่งสูงกว่าอัตราโดยเฉลี่ยในปีก่อนหน้าราว 40 เปอร์เซ็นต์ ในเมืองทั้งเก้าเมือง ได้แก่ เมืองแคนซัสซิตี รัฐมิสซูรี นครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ เมืองอัลบูเคอร์คี รัฐนิวเม็กซิโก เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ เมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน เมืองมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน เมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี และนครอินเดียแนโพลิส รัฐอินเดียนา

ทั้งนี้ เมืองมิลวอกี มีการฆาตกรรมเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปีที่แล้วจนถึงขณะนี้ โดยเพิ่มขึ้นถึง 99 เปอร์เซ็นต์ ตามมาด้วยนครชิคาโกที่ 55 เปอร์เซ็นต์ เมืองเมมฟิสที่ 50 เปอร์เซ็นต์ และเมืองคลีฟแลนด์ที่ 42 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ อาชญากรรมและความรุนแรงไม่ได้หยุดลงไปเพราะปฏิบัติการ Operation Legend ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีการปฏิบัติการในนครชิคาโกเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม การฆาตกรรมกลับเพิ่มสูงขึ้น 51 เปอร์เซ็นต์ในปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ และเพิ่มขึ้นถึง 55 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปลายเดือนธันวาคม โดยมีเมืองอัลบูเคอร์คีเมืองเดียวที่มีอัตราการฆาตกรรมลดลงเล็กน้อย แม้อัตราดังกล่าวมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นในปีนี้

การฆาตกรรมไม่ได้เพิ่มขึ้นในเมืองเหล่านี้เท่านั้น ข้อมูลที่เจฟ แอชเชอร์ นักวิเคราะห์อาชญากรรมได้รวบรวม เผยให้เห็นว่า การฆาตกรรมในเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ 57 เมือง เพิ่มสูงขึ้นกว่าอัตราเฉลี่ยราว 36.7 เปอร์เซ็นต์ โดยมีหลายเมืองที่มีการฆาตกรรมเพิ่มสูงขึ้นจนเป็นสถิติใหม่

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การฆาตกรรมและการใช้ความรุนแรงถูกกระตุ้นจากทั้งการระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจที่ทรุดตัวลงอย่างหนัก และการประท้วงต่อต้านตำรวจจากการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันผิวดำที่เสียชีวิตขณะถูกตำรวจเมืองอินเดียแนโพลิสจับกุมเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว

เควิน โนวัค อาจารย์ด้านอาชญวิทยา มหาวิทยาลัยมิสซูรี แคนซัสซิตี้ ระบุว่า การใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะอาชญากรรมที่มีการใช้ปืน มักเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง การเพิ่มเชื้อไฟ และความตึงเครียดจึงยิ่งทำให้ผู้คนถึง “จุดระเบิด” ได้ง่ายขึ้น

โนวัคยังระบุด้วยว่า แม้อาจต้องมีการ “แทรกแซง” ในเมืองที่มีความรุนแรงมาก แต่การวิเคราะห์ข้อมูลอาชญากรรมล่าสุดก็อาจบอกไม่ได้ว่า ความรุนแรงลดลงจริงหรือไม่ เขายังมองว่า คงไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างเต็มปากว่า ปฏิบัติการ Operation Legend ประสบความสำเร็จหรือไม่

ธัดดีอุส จอห์นสัน นักอาชญวิทยาประจำมหาวิทยาลัยแห่งรัฐจอร์เจีย และอดีตเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายอาวุโส ระบุว่า อัตราการฆาตกรรมที่สูง บ่งบอกว่า ปฏิบัติการต่อสู้กับอาชญากรรม โดยการจับกุมและดำเนินคดีระยะสั้น ไม่มีประโยชน์อะไร

จอห์นสันระบุว่า หากไม่มีการรับมือกับปัญหาในระดับชุมชน หรือไม่มีการให้คำแนะนำเมื่ออาชญากรถูกปล่อยออกจากเรือนจำ วงจรนี้จะดำเนินไปเรื่อยๆ และปฏิบัติการดังกล่าวจะเหมือนการ “ปิดพลาสเตอร์ยาบนโรคมะเร็ง”

ช่วงเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว เริ่มมีปฏิบัติการ Operation Legend ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เริ่มหาเสียงในขณะนั้น ระบุว่า ปฏิบัติการนี้เป็นการรับมือต่อปัญหาโดยทางรัฐบาลในเมืองที่เป็นของพรรคเดโมแครต โดยเขาระบุว่าจะ “นำความปลอดภัยคืนสู่สาธารณะ ปกป้องเยาวชนของชาติ และนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”

ความสำเร็จในระยะแรก

ปฏิบัติการดังกล่าวประสบความสำเร็จในระยะแรก โดยภายในระยะเวลาห้าสัปดาห์หลังเริ่มปฏิบัติการ ชายวัย 22 ปีคนหนึ่งถูกจับข้อหาฆาตกรรม ลีเจนด์ ทาลิเฟอร์โร โดยชาร์รอน พาวเวลล์ มารดาของทาลิเฟอร์โร ชื่นชมโครงการนี้เป็นอย่างมาก และกลายเป็นผู้สนับสนุนปฏิบัติการนี้อย่างเหนียวแน่น

อีกหนึ่งสัปดาห์ถัดมา ตำรวจจับผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมสองคดีในเมืองคลีฟแลนด์ และเมืองอัลบูเคอร์คี โดยการจับกุมผู้ต้องสงสัยฆาตกรรม อีริค ฮากิซิมานา ผู้ลี้ภัยวัย 17 ปี จากคองโก เกิดขึ้นไม่นานหลังสำนักงานอัยการสหรัฐฯ ท้องถิ่นดูแลคดีนี้

มาเยลเล เกมบา เพื่อนของครอบครัวฮากิซิมานา ระบุว่า คดีนี้ไม่คืบหน้ามาหลายเดือน และหากไม่มีปฏิบัติการจากรัฐบาลกลางนี้ ฆาตกรก็อาจยังคงลอยนวลอยู่

ริค สมิธ หัวหน้าตำรวจเมืองแคนซัสซิตี ระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางกว่า 200 คน ร่วมมือกับตำรวจเมืองแคนซัสซิตีเพื่อมุ่งเน้นจับกุม “ผู้ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมความรุนแรงอย่างแน่นอน” โดยพิจารณาเชิงเทคนิคว่า ใครเป็นผู้ก่ออาชญากรรมในเมือง พวกเขาละเมิดกฎหมายการครอบครองปืนอย่างไร และพวกเขาจะถูกจับจากข้อหาอะไรได้บ้าง

สมิธกล่าวกับวีโอเอว่า การฆาตกรรมในเมืองแคนซัสซิตีลดลง จากราวหกครั้งต่อสัปดาห์ก่อนเริ่มปฏิบัติการ Operation Legend เหลือสองครั้งต่อสัปดาห์หลังสิ้นสุดปฏิบัติการลงแล้ว และแม้การฆาตกรรมจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นในปีที่แล้ว โดยเกิดขึ้น 174 ครั้ง เมื่อเทียบกับในปีค.ศ. 2019 ที่เกิดขึ้น 151 ครั้ง แต่เขาก็ระบุว่า “ยอดอาชญากรรมคงแย่กว่านี้เยอะหากไม่มีปฏิบัติการ Operation Legend”

สมิธระบุว่า การมีเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลกลางมากขึ้น ทำให้ตำรวจเมืองแคนซัสซิตีจับผู้ร้ายจากคดีฆาตกรรมได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้ที่จะกระทำผิดรู้สึกถึงโอกาสที่จะถูกดำเนินคดีมากขึ้น

ความน่ากังขาของปฏิบัติการ Operation Legend

มีการตั้งคำถามถึงความสำเร็จของปฏิบัติการ Operation Legend ในเมืองอื่นๆ เช่น ในเดือนกันยายน บาร์ระบุว่าปฏิบัติการนี้ช่วยลดการฆาตกรรมลงไป 50 เปอร์เซ็นต์ภายในช่วงห้าสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ลอริ ไลท์ฟุต นายกเทศมนตรีนครชิคาโก กลับระบุว่า สถิติดังกล่าว "ไม่ถูกต้องความความเป็นจริง”

ต่อมาในเดือนตุลาคม คิมเบอร์ลี เอ็ม. การ์ดเนอร์ อัยการเมืองเซนต์หลุยส์ กล่าวหาว่า อดีตรมต.บาร์ใช้สถิติ “ระยะสั้นและไม่จริง” ในการอ้างว่า การฆาตกรรมในเมืองเซนต์หลุยส์ลดลง 49 เปอร์เซ็นต์

เทนี กรอส ผู้อำนวยการบริหารของสถาบัน Institute for Nonviolence ในนครชิคาโก ระบุว่า คำอ้างของบาร์นั้นไม่จริงเลย เนื่องจากตัวเลขการฆาตกรรมในเมืองของสหรัฐฯ รวมทั้งในนครชิคาโกนั้นสูงมาก

ผู้เชี่ยวชาญยังระบุด้วยว่า การจับกุมหัวหน้าขบวนการอาชญกรรมอาจกระตุ้นให้ลูกน้องในระดับรองลงมาแย่งชิงเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าที่ว่างลง ทำให้ยังคงมีความรุนแรงเกิดขึ้นในเมือง

บาทหลวงชาร์ลส์ แฮร์ริสัน ประธานกลุ่ม Indianapolis Ten Point Coalition ซึ่งเป็นกลุ่มศาสนาต่อต้านการใช้ความรุนแรง ระบุว่า แม้ปฏิบัติการ Operation Legend จะทำให้จับกุมผู้ต้องสงสัยได้จำนวนมาก รวมถึงยึดปืนได้จำนวนมาก แต่ไม่ได้ลดระดับการฆาตกรรมในเมืองอินเดียแนโพลิสในปีที่แล้วลง

แฮร์ริสันระบุว่า เนื่องจากไม่มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมถึงเกือบครึ่ง ผู้คนถึงไม่เชื่อว่าพวกเขาจะต้องรับผิดชอบหากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรง

โนวัคยังระบุด้วยว่า การจับกุมคุมขังผู้กระทำความผิดอาจทำให้ผู้ถูกจับกุมไม่อยากกระทำความผิดในอนาคตอีก แต่เนื่องจากเป็นปฏิบัติการระยะสั้น จึงไม่อาจคาดหวังได้ว่า ปฏิบัติการนี้จะทำให้อาชญากรโดยรวมกระทำผิดน้อยลงได้

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: