นักวิชาการชี้ปิดเอเชียประกันภัย สัญญาณแรกความเสี่ยงเชิงระบบสถาบันการเงินไทย

กองบรรณาธิการ TCIJ 21 ต.ค. 2564 | อ่านแล้ว 2044 ครั้ง

นักวิชาการชี้ปิดเอเชียประกันภัย สัญญาณแรกความเสี่ยงเชิงระบบสถาบันการเงินไทย

นักวิชาการชี้กรณีการปิดกิจการบริษัทเอเชียประกันภัย สัญญาณแรกความเสี่ยงเชิงระบบสถาบันการเงินไทย มาตรการกำหนดเพดานหนี้ ไม่มีประสิทธิผล

เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2564 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต กล่าวถึงการถอนใบอนุญาตและปิดกิจการของบริษัทเอเชียประกันภัยอาจจะไม่ได้เป็นเพียงรายเดียว เนื่องจากมีบริษัทประกันภัยจำนวนหนึ่งมีฐานะการเงินไม่เข้มแข็งนักและมีปัญหาสภาพคล่องอยู่ ประชาชนจึงต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนทำประกัน ในระยะแรกของการแพร่ระบาด COVID-19 นั้น ธุรกิจประกันภัยได้รับผลกระทบน้อยมาก และบริษัทประกันจำนวนไม่น้อยได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาส

จากการสำรวจข้อมูลของ คปภ. เมื่อปีที่แล้ว (2563) พบว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจทุกภาคส่วนรวมถึงรายได้และความสามารถในการใช้จ่าย จากการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายช่องทาง ผู้คนจึงตระหนักและมีความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยมากยิ่งขึ้น ทำให้แนวโน้มยอดขายกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 มีสัดส่วนมากเมื่อเทียบกับยอดขายทั้งหมดของธุรกิจประกันใน 1-2 ปีที่ผ่านมา การปล่อยให้เกิดการติดเชื้อ COVID-19 จำนวนมากจากการบริหารจัดการวัคซีนล่าช้า ความล้มเหลวในการควบคุมระบาดระลอกสาม ทำให้ธุรกิจประกันบางแห่งที่มีฐานะการเงินอ่อนแออยู่แล้ว ทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว ขอเตือนให้ระมัดระวัง กิจการธุรกิจประกัน สหกรณ์ออมทรัพย์ ธุรกิจโรงรับจำนำจะมีปัญหาสภาพคล่องเพิ่มเติม นอกจากนี้ขอให้เฝ้าระวัง “หนี้เสีย” ของกลุ่มพิโกไฟแนนซ์และกิจการเช่าซื้อขนาดเล็ก

รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุว่าอย่าปล่อยให้สถานการณ์ลุกลาม จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตการเงินได้และอาจมาเร็วกว่าคาด ต้องเร่งใช้เม็ดเงินอย่างต่ำ 5-7 แสนล้านบาทเพื่อออกมาตรการรักษาระดับการจ้างงานเอาไว้ การให้เงินช่วยเหลือโดยตรงภาคธุรกิจ การลดค่าใช้จ่ายสำหรับครัวเรือนและภาคธุรกิจ รวมถึงการใช้เงินช่วยเหลือโดยตรงกับครัวเรือน หากไม่ทำจะทำให้กิจการขนาดย่อมขนาดเล็กขนาดกลางกว่า 2 แสนรายขาดสภาพคล่อง และอาจต้องปิดตัวลงอีก และกระทบครัวเรือนกว่า 3 ล้านครัวเรือนที่จะยากจนลงและมีหนี้สินล้นพ้นตัว หากเปิดประเทศได้เต็มที่และไม่มีปัญหาการกลับมาระบาดระลอกสี่ของโควิดก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินช่วยเหลือโดยตรงตามที่เสนอ

จากงานวิจัยหลายชิ้นบ่งชี้ตรงกันว่า ผลกระทบจาก COVID-19 ในประเด็นการรับรู้ความเสี่ยงส่วนบุคคลจะส่งผลเชิงบวกต่อความต้องการซื้อประกันสุขภาพและประกันชีวิตในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เนื่องจากการล็อกดาวน์และการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของครอบครัวรายได้น้อยมากและครอบครัวชนชั้นกลางค่อนข้างมาก การซื้อประกันหรือการจ่ายค่าเบี้ยประกันไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่การซื้อประกันเพิ่มขึ้นเกิดขึ้นในกลุ่มกิจการและนิติบุคคลหรือผู้มีรายได้สูง

กรณีของบริษัทเอเชียประกันภัยนั้นเป็นผลมาจากความผิดผลาดในการบริหารความเสี่ยงและการบริหารสภาพคล่องของบริษัทมากกว่าผลจากธุรกิจอุตสาหกรรมประกันและเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม สภาพวิกฤติเศรษฐกิจโดยรวม อัตราผลตอบแทนต่ำยาวนานในตลาดตราสารหนี้ ธุรกิจประกันที่มีการแข่งขันกันสูง ตลอดจนความไม่สามารถจัดการผลกระทบภัยพิบัติจากโรคระบาดและภัยพิบัติน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพของภาครัฐทำให้ “ฐานะทางการเงิน” ของธุรกิจประกันหลายแห่งย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว บริษัทเอเชียประกันภัยมีหนี้สินกว่า 4.4 พันล้านบาท บริษัทเอเชียประกันภัย ได้ทยอยเพิ่มทุนจดทะเบียนสองครั้ง ในปี พ.ศ. 2562 เพิ่มทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท ขณะนี้ คณะกรรม คปภ สั่งห้าม เจ้าพระยาประกันภัย รับประกันวินาศภัย ชั่วคราว และ การสั่งถอนใบอนุญาต บริษัทเอเชียประกันภัย สะท้อนปัญหาสภาพคล่องในธุรกิจประกันที่อาจลุกลามไปสู่สถาบันการเงินประเภทอื่นๆได้ กรณีของบริษัทเอเชียประกันภัยนั้น มีฐานะการเงินไม่มั่นคง การดำรงเงินกองทุนไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน สภาพคล่องไม่เพียงพอต่อการจ่ายค่าสินไหมทดแทน จ่ายค่าสินไหมทดแทนล่าช้า รวมถึงการเสนอขายกรมธรรม์ไม่เป็นไปตามแบบและข้อความที่ได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียน

รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า มาตรการเสริมสร้างสภาพคล่องให้กับบริษัทประกันวินาศภัยโดย คปภ. ที่ออกมาบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2564 นั้นเพียงช่วยบรรเทาปัญหาลงได้บ้างเท่านั้น โดย 7 มาตรการที่ออกมาจะเกี่ยวกับการผ่อนคลายเกณฑ์การคำนวณเงินกอบทุนและการผ่อนผันการดำรงอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 รวมทั้งการยอมให้นำเอาเบี้ยประกันค้างรับมาใช้เป็นสินทรัพย์หนุนหลัง มาตรการเหล่านี้ล้วนเป็นแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้นและอาจทำให้เกิดความเสี่ยงและความเข้มแข็งของธุรกิจประกันในระยะยาวอ่อนแอลง เนื่องจากบริษัทประกันหลายแห่งไม่ได้มีฐานะทางการเงินแข็งแรงพอที่จะรองรับกับการเคลมโควิดในระดับพันล้านบาทขึ้นไปในแต่ละบริษัท หรือการเคลมคิดระดับหมื่นล้านบาททั้งระบบ และจำนวนผู้ร้องเรียนเคลมก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เมื่อถูกซ้ำเติมโดยการเคลมประกันภัยพิบัติจากน้ำท่วมอีก ก็จะมีฐานะทางการเงินอ่อนแอลง ตอนนี้ต้องทำอย่างไรไม่ให้น้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมและกิจการต่าง ๆ ในเขตเมือง

ฉะนั้นต้องมีมาตรการเพิ่มเติมนอกเหนือจากมาตรการที่มีอยู่โดย คปภ. ขณะนี้ คือการส่งเสริมให้มีการเพิ่มทุนเพื่อให้ฐานะของบริษัทประกันเข้มแข็งขึ้นและสร้างจูงใจให้เกิดการควบรวมกิจการ การจัดโครงสร้างใหม่ของกลุ่มธุรกิจธนาคารและการเงินรวมทั้งการขยายพรมแดนทางธุรกิจโดยอาศัยฐานลูกค้าที่มีอยู่จะทำให้บริษัทธุรกิจประกันขนาดเล็กและขนาดกลางได้รับผลกระทบ การสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเพื่อการควบรวมของธุรกิจประกันขนาดเล็กกันเองหรือกับสถาบันการเงินอื่นๆอาจมีความจำเป็น นอกจากนี้ เราจะเห็นการหลอมรวมของธุรกิจธนาคาร ธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจสื่อสังคมออนไลน์ ธุรกิจประกัน ธุรกิจค้าปลีกและเครือข่ายมากขึ้น องค์กรที่จะอยู่รอดได้จึงจำเป็นต้องมีการร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจข้ามอุตสาหกรรม หรือ จำเป็นต้องทำธุรกิจแบบครบวงจรมากขึ้น ด้วยการผนวกรวม ทั้งแนวตั้งและแนวนอน (Vertical and Horizontal Integration) นอกจากนี้ ควรสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษเพื่อให้ธุรกิจประกันประคับประคองธุรกิจไปให้ได้ในช่วงนี้ และในภาพรวม ธนาคารอาจต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอีกหากมีความจำเป็น

ด้านนโยบายการคุมเพดานดอกเบี้ยเงินกู้ธุรกิจเช่าซื้อ แม้นมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือประชาชนรายได้น้อยที่ต้องแบกรับภาระอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูง แต่จะผลักดันให้คนจนไปกู้นอกระบบมากขึ้น เพราะธุรกิจเช่าซื้อจะไม่สามารถปล่อยกู้ให้กับคนจนที่มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้สูงได้เพราะถูกกำหนดเพดานไว้ ไม่คุ้มกับความเสี่ยงก็จะทำให้ไม่มีการปล่อยกู้ กลุ่มคนจนเหล่านี้ก็จะหันไปกู้นอกระบบซึ่งอัตราดอกเบี้ยสูงกว่ามากและมีความเสี่ยงที่จะถูกคดโกงหรือเอาเปรียบลูกหนี้ได้ การกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ย จึงเป็นนโยบายที่ไม่มีประสิทธิผลมากนักในการแก้ปัญหา เหมือนจะช่วย “คนจน” แต่กลับสร้างปัญหาไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือวัดความเสี่ยง ในหลักการทางการเงิน ยิ่งเสี่ยงสูงอัตราดอกเบี้ยยิ่งสูงเพื่อชดเชยความเสี่ยง และดอกเบี้ยสะท้อนต้นทุนของการทำธุรกิจ ซึ่งหากเป็นรายย่อยมาก ๆ มีการเรียกเก็บเป็นรายวันจะยิ่งมีต้นทุนสูงขึ้น การแก้ปัญหาธุรกิจเช่าซื้อคิดอัตราดอกเบี้ยสูงจึงต้องแก้โดยการเปิดเสรีทางการเงินเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ลดลง และ เพิ่มการแข่งขัน ไม่ให้มีอำนาจผูกขาด ดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยจะปรับลงมาเอง และจะไม่มีกิจการเช่าซื้อใดคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ไม่เหมาะสม เพราะหากกิจการทำเช่นนั้นจะสูญเสียธุรกิจให้คู่แข่งที่คิดอัตราดอกเบี้ยถูกกว่า เป็นธรรมกว่ากลไกตลาดจะทำงานหากปล่อยให้มีการแข่งขันอย่างเสรีจริง

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: