นักวิชาการเตือนบทเรียนระบาดซ้ำแบบ 'ชิลี' แนะจัดงบสนับสนุนวัคซีนจากจุฬาฯ

กองบรรณาธิการ TCIJ 23 มิ.ย. 2564 | อ่านแล้ว 2224 ครั้ง

นักวิชาการเตือนบทเรียนระบาดซ้ำแบบ 'ชิลี' แนะจัดงบสนับสนุนวัคซีนจากจุฬาฯ

นักวิชาการเตือนไทยอาจซ้ำรอยความผิดผลาดของ 'ชิลี' หากเปิดประเทศอย่างไม่ระมัดระวังและใช้วัคซีนประสิทธิภาพต่ำ แนะรัฐบาลควรจัดงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาวัคซีน ChulaCov19 ของจุฬาฯ ควรยื่นเรื่องให้องค์การอนามัยโลกกำหนดเกณฑ์ให้ชัดเพื่อผลิตออกใช้ได้เร็วขึ้น 

เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2564  นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ และ อดีตรองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวแสดงความห่วงใยว่า การเร่งเปิดประเทศโดยไม่มีมาตรการทางด้านสาธารณสุขที่ดีพออาจทำให้ “ไทย” เผชิญความเสี่ยงการระบาดครั้งใหญ่ด้วย COVID-19 กลายพันธุ์ และ อาจซ้ำรอยความผิดผลาดของประเทศชิลีต้องกลับมาปิดประเทศและปิดเมืองหลวงอีกรอบหนึ่งแม้นฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไปแล้วกว่า 75% มีความเสี่ยงและมีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นเพราะประเทศชิลีใช้ ซิโนแวค เช่นเดียวกับประเทศไทย ซึ่งอาจมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อต่ำแม้นจะป้องกันการเจ็บป่วยหรือการเสียชีวิตได้ก็ตาม ประเทศชิลี ถือเป็นกรณีศึกษาที่ไทยสมควรให้ความสนใจอย่างยิ่ง เพราะถึงแม้ว่าชิลีจะได้ฉีดวัคซีนเข็มแรกกระจายให้ประชากรคิดเป็นร้อยละของประชากรกลุ่มเสี่ยงแล้วกว่า 75% แต่ก็ยังการแพร่ระบาดของเชื้อระลอกใหม่ จากข้อมูลล่าสุด พบว่า ชิลีใช้วัคซีนของ Sinovac 17.2 ล้านโดส ซึ่งคิดเป็น 75% ของวัคซีนทั้งหมดที่ชิลีใช้ ส่วนที่เหลืออีก 25% นั้นเป็นของ Pfizer และ AstraZeneca 

ส่วนของไทยนั้น เราใช้วัคซีนเข็มที่ 1 ไปแล้ว 8.21% ของประชากร และรับวัคซีน 2 เข็มแล้ว 3.09% ของประชากร ส่วนใหญ่ฉีดวัคซีน Sinovac การระบาดระลอกใหม่ในชิลีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในระดับ 7,000 รายต่อวัน ขณะที่ไทยระบาดระลอกสามตอนนี้มีผู้ติดเชื้อวันละมากกว่า 3,000 คน ไทยใช้วัคซีน Sinovac เช่นเดียวกันกับชิลีฉะนั้นต้องมีความระมัดระวังการเกิดการระบาดระลอกใหม่ได้อีก ดังนั้นจึงไม่ควรประมาทว่าเมื่อได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้วร่างกายจะปลอดภัยหยุดรับหรือแพร่เชื้อได้ ขณะที่ทฤษฎีการเข้าสู่ภาวะมีภูมิคุ้มกันหมู่ที่ 70% ของประชาชนนั้น ก็ยังมีเงื่อนไขเรื่องของการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงจนครบ 2 เข็มและร่ายกายได้สร้างภูมิคุ้มกันจนสำเร็จหลังฉีดวัคซีนอย่างน้อยสองสัปดาห์ 

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่าจากการประเมินความเสี่ยงต่าง ๆ และการกระจายฉีดวัคซีนในไทยแล้ว เห็นว่าควรชะลอการเปิดประเทศไปช่วงต้นเดือน ธ.ค. และ เลื่อน “ภูเก็ตแซนด์บ๊อกซ์” (Phuket Sandbox) เป็นต้นเดือน ก.ย. หากเร่งเปิดประเทศ เปิดเมืองท่องเที่ยว โดยที่ยังไม่พร้อมในการรับมือการควบคุมการแพร่ระบาดได้มากกว่า 90% ต้องชะลอแผนเปิดเมืองไปก่อน ส่วนธุรกิจและผู้ใช้แรงงานที่ได้รับความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณชดเชยรายได้และบรรเทาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจไปอีกสองเดือนนับตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม หากต้องการเร่งเปิดเกาะภูเก็ตในเดือนกรกฎาคมไม่ควรอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติออกไปยังพื้นที่อื่น ๆ นอกเกาะภูเก็ต หากมีความจำเป็นต้องเดินทางจริงให้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่และต้องมีผลการตรวจ COVID-19 เป็นลบเท่านั้น 

ทั้งนี้รัฐบาลควรจัดงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อการสนับสนุนการผลิตวัคซีนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งคาดว่าจะได้วัคซีนคุณภาพสูงป้องกันเชื้อ COVID-19 กลายพันธุ์ได้ ขณะนี้จุฬาลงกรณ์กำลังผลิตวัคซีนสองขนาน ขนานหนึ่ง พัฒนาโดยศูนย์วัคซีน คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งพัฒนาวัคซีนโควิด ChulaCov19 เป็นชนิด mRNA ใช้เทคโนโลยีแบบไฟเซอร์และโมเดอร์นา ทำให้ได้วัคซีนประสิทธิภาพสูง การที่จุฬาฯผลิตวัคซีนโดยใช้เทคโนโลยี mRNA เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะเทคโนโลยีนี้จะเป็นเทคโนโลยีสำคัญมากในอนาคตเพราะสามารถใช้ผลิตวัคซีนป้องกันโรคอื่นๆได้อีกด้วย รัฐบาลควรลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางด้านโรงงานเพื่อให้ วัคซีนโควิด ChulaCov19 สามารถผลิตได้ในประเทศไทยเอง 

นายอนุสรณ์ กล่าวเสนอแนะว่าเพื่อลดขั้นตอนในการทดสอบวัคซีน ChulaCov19 รัฐบาลไทยควรยื่นเรื่องให้องค์การอนามัยโลกกำหนดเกณฑ์ให้ชัดเจนว่า “วัคซีนที่มีประสิทธิภาพต้องกระตุ้นภูมิได้เท่าไหร่” หากมีความชัดเจนเรื่องเกณฑ์ อาจไม่ต้องทดสอบทางคลินิกเฟสสาม จะทำให้เราสามารถใช้วัคซีน ChulaCov19 ซึ่งมีคุณภาพเทียบเท่าไฟเซอร์ฉีดให้ประชาชนชาวไทยได้เร็วขึ้น 

สำหรับวัคซีนอีกขนานหนี่งของจุฬาฯนั้น รัฐก็ควรส่งเสริมเช่นเดียวกันเพราะเป็นการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพที่เรามีอยู่ วัคซีนขนานนี้พัฒนาโดยบริษัท Start Up ของคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม พัฒนาโปรตีนวัคซีนจากใบพืช   

นอกจากนี้ ควรจัดงบเพิ่มเติมเพื่อลงทุนในการวิจัยเกี่ยวกับยารักษาโรคระบาดอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตผ่านทางมหาวิทยาลัยต่างๆและองค์การเภสัชกรรม ประเทศไทยน่าจะมีศักยภาพสูงในการเป็นฐานผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรค COVID-19 และรักษาโรคอุบัติใหม่ในอนาคต และ ไทยมีความพร้อมในการเป็นฐานการผลิตวัคซีนเพื่อการส่งออกไปยังอาเซียนอีกด้วย การดำเนินการกระจายวัคซีนและทำให้ประเทศเพื่อนบ้านเข้าถึงวัคซีนมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยและความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขของไทย  การเดินหน้าให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางทางการแพทย์และการบริการสาธารณสุข ต้องอาศัยยุทธศาสตร์และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ การบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข การผลิตยาหรือวัคซีนภายใต้ทรัพย์สินทางปัญญาของบรรษัทข้ามชาติย่อมมีข้อจำกัด ในอนาคตประเทศไทยควรมีบริษัทที่สามารถผลิตวัคซีนและยาภายใต้ทรัพย์สินปัญญาของประเทศไทยเอง ความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ ระบบสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชนจะได้ไม่ต้องขึ้นอยู่กับบริษัทยาและวัคซีนข้ามชาติมากเกินไป 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: