ถ้าย้อนไปสมัยมัธยม ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่นักเรียน ผมเขียนมันลงไปในสมุดบันทึก และปิดตายไว้แบบนั้น
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผมไม่ใช่นักศึกษา ผมหาทางออกให้ความไม่พอใจในสิ่งที่เป็นด้วยการโดดเรียนมาทำงาน ผมเปิดคอมเขียนบทความแม่งข้างๆอาจารย์ประจำวิชาที่นั่งรอเข้าคลาสอยู่ในร้านกาแฟ ทำไมต้องสนใจ ในเมื่อไม่มีพื้นที่ใดสำหรับคนแบบผม
เหมือนเล่นเกมเก็บเลเวลน่ะคุณ อีกด้านของความโดดเดี่ยคือชีวิตอิสระที่ไม่มีใครคอยดุด่า
พ่อแม่หรืออาจารย์ที่ปรึกษานะหรอ ผมจะไปสนใจทำไมวะ ในเมื่อผมหาเงินเองได้ มีปัญญาลงทะเบียนรายวิชาที่ติดเอฟ และมีความสามารถพอที่จะเก็บเกรดเอในบางวิชาเพื่อรักษามาตรฐาน
สมุดบันทึกที่เคยปิดตายไว้ในวัยมัธยมถูกมองเห็นอีกครั้ง ผมเริ่มใช้งานมันด้วยความสนุก เป็นพื้นที่ทดลอง พื้นที่ปลอดภัย หรือพื้นที่อะไรใดๆตามที่ใครเรียกกัน
ในบันทึกหน้าใหม่ ผมใช้เพื่อวิจารณ์สถาบันที่ศึกษา โดยมีหัวข้อว่า “รีวิว”
ผมก็พอมีวิธีเรียกร้องความสนใจในระดับนึง…
ระดับที่ว่าหัวข้อนั้นมัน “แมส” ขึ้นมาในแวดวงคนรู้จัก คนรู้จักที่ไม่รู้ว่าคนเขียนแม่งคือใคร แต่จะมีใครรู้ไหมก็ไม่ใช่ประเด็นที่น่าใส่ใจอะไรนักหนา
ผมเริ่มใช้บันทึกนั้นเพื่อสื่อสารเรื่องราวในใจ หรือความขัดแย้งใดๆที่ไม่สามารถพูดออกมาต่อหน้าคนอื่น ชีวิตไหลไปแบบนั้น แบบที่ผมค่อนข้างพอใจ
ผมคิดไปว่าตัวตนใหม่ได้เริ่มขึ้น เมื่อฝึกงานในกองบรรณาธิการที่บอกชื่อไปคุณก็น่าจะรู้จัก ผมยังเก็บอีเมลล์ตอบรับฉบับนั้นไว้ถึงตอนนี้เลยนะ ยังไงซะก็เป็นความสำเร็จหนึ่งของเด็กอายุสิบเก้าที่เพิ่งรู้จักกับอิสระมาไม่ถึงสองปี
“กูก็ไม่ได้เหี้ยเท่าไหร่หรอก” ผมบอกตัวเองแบบนั้น
แต่โลกของเด็กอายุสิบเก้าแม่งก็แค่เกิดมาสิบกว่าปีว่ะคุณ มันจะไปสู้อะไรกับใครได้ ตัวตนแม่งพินาศฉิบหายตั้งแต่ดราฟแรก ไปแก้ใหม่ ดราฟสอง มึงไปแก้มาใหม่ ไปลงพื้นที่ ไปทำนั่นทำนี่ ทำไมไม่เข้าออฟฟิศ แล้วฝึกงานที่ไหนมันได้เงิน ทำไมงานไม่เห็นน่าอ่านเหมือนที่เสนอมา มีปัญหาอะไรนักหนา
เออ แล้วมึงจะเอาห่าอะไรจากกู
“เลิกแม่ง” ผมบอกกับตัวเอง ตัดสินใจหายไปเฉยๆจากกองบรรณาธิการ จากการเรียน และจากผู้คน
ผมกลับไปเป็นเด็กคนเดิม เพิ่มเติมคืออ่านทุกอย่างที่ไม่เคยได้อ่าน เผื่อว่าโลกของผมมันจะกว้างเท่ากับใครหลายคนที่เคยเจอ
ชั้นหนังสือถูกเติมด้วยอะไรที่ใครเรียกว่าวรรณกรรม ปรัชญา เรื่องราวจากปลายปากกาของปัญญาชน คาฟคา มุราคามิ เฮสเส เฮมมิ่งเวย์ ดอสโตเยฟสกี เวอร์จิเนีย วูล์ฟ ฟรอยด์ คาร์ล จุง psychoanalysis marxist neo-marxist post-modern อะไรใดๆที่ยิ่งอ่านไปแล้วยิ่งประกอบเป็นความรู้สึกฉิบหาย ใช่ มันคือการสูญหาย ผมรู้สึกว่าผมค่อยๆหายไป กลายเป็นอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง
สุดท้ายผมกลับมาเชื่อมโยงกับภาพอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่วาดไว้ด้วย ‘ทายาทเผด็จการ’
สุดท้ายของสุดท้าย
ผมก็อยู่ภายใต้ hierarchy ที่เผด็จการสร้างขึ้น ทั้งระบบชนชั้น ครอบครัวจินตกรรม ชุมชนจินตกรรม
ไม่รู้เป็นสุดท้ายที่เท่าไหร่เมื่อทุกสิ่งสามารถคลี่คลายด้วยจินตกรรมหรือวาทกรรม…ทั้งที่เมื่อมองตรงหน้า เมื่อใช้ตามอง ใช้มือสัมผัส ใช้หัวใจรู้สึก ไม่เคยมีสิ่งใดคลี่คลาย ไม่เลย.
*ติดตามผลงานอื่นๆ ของ absinthetc ได้ที่ https://absinthetc.readawrite.com
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ