รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ทำหนังสือถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมปีนี้ เพื่ออธิบายว่าคำขอประทานบัตรทำเหมืองใต้ดินที่ 1-4/2557 ของบริษัท เอเชีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวนสี่แปลงที่ จ.อุดรธานี ซึ่งนายทุนฆ่าเสือดำเจ้าของอิตาเลียนไทยถือหุ้นเป็นเจ้าของร้อยเปอร์เซ็นต์ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยแร่และระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยพื้นที่คำขอประทานบัตรเป็น ‘เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง’ ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ซึ่ง ครม. ได้มีมติเห็นชอบให้แผนแม่บทฯ พ.ศ. 2560 – 2564 มีผลใช้ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 รวมถึงได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 แล้ว จึงขอเสนอผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการดังกล่าวต่อ ครม. เพื่อโปรดทราบก่อนดำเนินการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรในขั้นตอนต่อไป และขอทบทวนเพื่อยกเลิกมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 ด้วย เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ (คนร.) ได้นำแผนแม่บทฯเสนอต่อ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ซึ่งในการอนุญาตประทานบัตรจะพิจารณาอนุญาตได้เฉพาะในพื้นที่ที่แผนแม่บทฯกำหนดให้เป็น ‘เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง’ มีความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจและสอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทฯแล้วเท่านั้น
ครม. จึงมีมติเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2565 ว่า (1) รับทราบผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียโครงการเหมืองแร่โปแตชจังหวัดอุดรธานี ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ อก. รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุขไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
(2) เห็นชอบให้ยกเลิกมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 (เรื่อง รายงานข้อมูลข้อเท็จจริงกรณีโครงการทำเหมืองแร่โปแตชในประเทศไทย) เฉพาะในส่วนของข้อ 2
(3) ให้ อก. ร่วมกับ ทส. กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โปแตชให้ถูกต้อง เหมาะสม คุ้มค่า มีความโปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และกำกับดูแลผู้ประกอบการให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ (EIA) ให้ครบถ้วน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง และกำหนดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการด้วย
โดยสรุปของมติ ครม. ทั้งสามข้อก็คือเตรียมออก/อนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตชใต้ดินทั้งสี่แปลง
ซึ่งสวนทางกับข้อเท็จจริงอย่างน้อยสองประเด็น คือ
1.การอ้างว่าพื้นที่คำขอประทานบัตรทั้งสี่แปลง 26,446 ไร่ 1 งาน 49 ตารางวา ซึ่งกินอาณาเขตกว้างขวางมาก ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนคำขอตั้งแต่อยู่ภายใต้การบังคับใช้ของกฎหมายแร่ฉบับเก่าที่ถูกยกเลิกไปแล้ว (พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510) เป็น ‘เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง’ ตามแผนแม่บทฯที่ถูกกำหนดโดยกฎหมายแร่ฉบับใหม่ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน (พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560) นั้น ถือว่าเป็นข้ออ้างที่บิดเบือน ไม่ได้ตั้งอยู่ในข้อเท็จจริง เหตุเพราะว่าในหลายมาตราของกฎหมายแร่ฉบับใหม่ โดยเฉพาะมาตรา 17 วรรคสี่ กำหนดไว้ชัดเจนว่า คนร. ต้องเอาพื้นที่ประเทศไทยทั้งประเทศประมาณ 320 ล้านไร่ มาจำแนกประเภทให้ชัดเจนว่าพื้นที่ไหนบ้างเป็นพื้นที่ที่ถูกหวงห้ามไม่จัดอยู่ในเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองที่จะนำไปขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ชนิดใด ๆ มิได้ เช่น พื้นที่อุทยานแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ พื้นที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าตามกฎหมายว่าด้วยเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พื้นที่โบราณวัตถุและโบราณสถานตามกฎหมายที่ว่าด้วยการนั้น พื้นที่หวงห้ามเฉพาะตามกฎหมายที่ว่าด้วยการนั้น และ ‘พื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม’ และพื้นที่ไหนบ้างจัดอยู่ในเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง
ซึ่งสอดคล้องกับคำพิพากษาชั้นต้นของศาลปกครองจังหวัดอุดรฯเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2561 ที่ชาวบ้านฟ้องในสาระสำคัญว่าการดำเนินการตามคำขอประทานบัตรทำเหมืองโปแตชใต้ดินทั้งสี่แปลงดังกล่าวได้ละเว้นหรือยังไม่ได้จัดทำ ‘รายงานการไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตร’ (ตามกฎหมายแร่ฉบับเก่า) ที่จะต้องไต่สวนพื้นที่คำขอประทานบัตรทำเหมืองใต้ดินที่ไม่มีประชาชนคนใดสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เพราะเป็นกิจกรรมที่อยู่ใต้ผืนดินลึกลงไปไม่ต่ำกว่า 160 เมตร ตามชั้นแร่โปแตชชนิดซิลไวท์ที่ถูกสำรวจพบในพื้นที่ดังกล่าว โดยจะต้องไต่สวนประหนึ่งว่าไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตรเหมืองบนผิวดิน เพื่อชี้ให้เห็นว่ามีห้วยน้ำลำธารใต้ดินไหลไปสู่ทิศทางไหน อย่างไรบ้าง และมีความสัมพันธ์กับน้ำบนผิวดินอย่างไรบ้าง (ซึ่งในข้อเท็จจริงที่เห็นอยู่เป็นประจำในหลายพื้นที่การขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ชนิดต่าง ๆ มักพบว่าการไต่สวนตามรายงานไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตรหากพบว่ามีห้วยน้ำลำธารอยู่ เจ้าหน้าที่รังวัดปักหมุด/ไต่สวนมักจะหลีกเลี่ยงที่จะเขียนลงไปว่าพบ โดยมักจะเขียนลงไปว่าไม่พบ เพราะถ้าเขียนลงไปว่าพบก็จะทำให้ดำเนินการตามคำขอประทานบัตรต่อไปไม่ได้ และคนที่ลงนามรับรองทั้งผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน และเจ้าหน้าที่รังวัดปักหมุด/ไต่สวน มักถูกกล่าวหาและถูกลงโทษว่ามีความผิดอยู่เสมอในหลายพื้นที่จากการร้องเรียนและฟ้องคดีของชาวบ้าน) ศาลปกครองชั้นต้นจึงได้พิพากษาว่าการดำเนินการตามคำขอประทานบัตรทำเหมืองใต้ดินทั้งสี่แปลงมีความผิดจริง เพราะยังไม่ได้จัดทำ ‘รายงานการไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตร’ จริงตามที่ชาวบ้านกล่าวหา/ฟ้องคดี
แต่เนื่องจากในระหว่างพิพากษาก็ได้มีการประกาศใช้กฎหมายแร่ฉบับใหม่ และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) หน่วยงานในสังกัด อก. ก็ได้ออกอนุบัญญัติ/กฎหมายลำดับรองจากพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ขึ้นมาใหม่ คือ ‘ประกาศกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรังวัดกำหนดเขตคำขอตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 พ.ศ. 2562’ (เป็นประกาศฉบับใหม่เพื่อยกเลิกประกาศฉบับเก่าในชื่อเดียวกันที่ประกาศใช้บังคับเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 ให้หลังจากพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับได้เพียงแค่สองวัน) เพื่อไม่ให้การดำเนินการตามคำขอประทานบัตรชนิดแร่ใด ๆ ก็ตามต้องจัดทำ ‘รายงานการไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตร’ อีกต่อไปแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงต้องไต่สวนเรื่องห้วยน้ำลำธารและที่ดินสาธารณประโยชน์ประเภทอื่น ๆ
แต่ประกาศดังกล่าวก็ยังมีหลักการให้ต้องรังวัดปักหมุดขอบเขตคำขอโดยคำนึงถึงที่ดินเอกชน ที่ดินรัฐ ที่สาธารณประโยชน์ต่าง ๆ อยู่ดี ถึงแม้จะไม่ต้องไต่สวนตามรายงานการไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตร ก็มิอาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องรังวัดปักหมุดทับลงไปในพื้นที่ที่เป็นห้วยน้ำลำธารและที่ดินสาธารณประโยชน์ประเภทอื่น ๆ โดยไม่ใส่ใจ/ละเลยมิได้ ศาลปกครองชั้นต้นจึงได้พิพากษาให้กลับไปดำเนินการขอประทานบัตรทำเหมืองโปแตชใต้ดินทั้งสี่แปลงตามกระบวนการ/ขั้นตอนของกฎหมายแร่ฉบับใหม่ให้ครบถ้วน แปลง่าย ๆ ว่าให้กลับไปดำเนินการขอประทานบัตรใหม่ตามกระบวนการของกฎหมายแร่ฉบับใหม่ตั้งแต่ต้น
แต่สิ่งที่ กพร. และ อก. ทำ คือไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เพราะเนื่องจากมีการอุทธรณ์คดี จึงยังทำให้คดียังไม่ถึงที่สุด ในช่วงเวลาสุญญากาศนี้ กพร., อก. และบริษัทฯจึงยังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น
แต่ต่อให้ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ก็ยังคงต้องปฏิบัติตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่อยู่ดี โดยเฉพาะต้องปฏิบัติตามมาตรา 187, 188 และ 189 ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า (1) บรรดากฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ หรือคำสั่งที่ออกตามกฎหมายแร่ฉบับเก่าและพระราชบัญญัติพิกัดอัตราค่าภาคหลวงแร่ พ.ศ. 2509 ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายแร่ฉบับใหม่ (2) บรรดาคำขอทุกประเภทที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่กฎหมายแร่ฉบับใหม่ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นคำขอตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่ แต่ให้พิจารณาดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแร่ฉบับใหม่ และ (3) บรรดาอาชญาบัตร ประทานบัตรหรือใบอนุญาตที่ได้ออกให้ตามกฎหมายแร่ฉบับเก่า ก่อนวันที่กฎหมายแร่ฉบับใหม่ใช้บังคับ ให้ถือเป็นอาชญาบัตร ประทานบัตรหรือใบอนุญาตตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่ที่ยังคงใช้ได้จนกว่าจะสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอน โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแร่ฉบับใหม่ ตามลำดับ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขใหม่ ๆ ให้ต้องปฏิบัติตาม
ดังนั้น การอ้างว่าได้ปฏิบัติตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่แล้วโดยบิดเบือนว่าพื้นที่คำขอประทานบัตรทั้งสี่แปลงเป็น ‘เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง’ ตามแผนแม่บทฯซึ่ง ครม. ได้มีมติเห็นชอบแล้วนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เพราะข้อเท็จจริงก็คือ อก. และ กพร. ได้ยกคำขอประทานบัตรทั้งสี่แปลงที่ขอไว้ตั้งแต่กฎหมายแร่ฉบับเก่าใช้บังคับเอามาอยู่ในเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองโดยที่ยังไม่ได้จำแนกพื้นที่ตามหลักวิชาการที่กำหนดไว้ในมาตรา 17 วรรคสี่และมาตราอื่น ๆ ของกฎหมายแร่ฉบับใหม่แต่อย่างใด
ซึ่งการจำแนกพื้นที่ตามหลักวิชาการที่กำหนดไว้ในมาตรา 17 วรรคสี่ รวมถึงมาตราอื่น ๆ ของกฎหมายแร่ฉบับใหม่ คือเรื่องเดียวกับที่ศาลปกครองชั้นต้นได้พิพากษาไว้นั่นเอง นั่นคือ จะต้องนำพื้นที่คำขอประทานบัตรทั้งสี่แปลงมาจำแนกให้ได้ว่าพื้นที่ไหนบ้างมีห้วยน้ำลำธารที่ไหลอยู่ใต้ผิวดิน (ระบบน้ำใต้ดิน) สัมพันธ์เชื่อมโยงกับระบบน้ำบนผิวดิน
หรือจำแนกให้ได้ว่าพื้นที่ตามคำขอประทานบัตรทั้งสี่แปลงพื้นที่ไหนบ้างเป็นแหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึมที่จะต้องถูกกันออกจากการเป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองที่จะนำมาขอประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตชมิได้
2. การอ้างว่าได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 แล้ว ยิ่งบิดเบือนมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะข้อเท็จจริงในพื้นที่มีแต่ความขัดแย้งที่เกิดจากการกระทำของบริษัทฯและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และยังมี อบต. ในพื้นที่บางแห่งที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับโครงการทั้งโดยวาจาและลายลักษณ์อักษรส่งไปถึงส่วนราชการต่าง ๆ ซึ่งเป็นหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการขอประทานบัตรตามกฎหมายแร่ฉบับเก่าและฉบับใหม่ แต่ก็ยังถูกละเลย/ละเว้น/เพิกเฉยจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ปล่อยให้มีการขอประทานบัตรกระโดดข้ามหรือลัดขั้นตอนหน่วยงานท้องถิ่นไปเสีย
ทุก ๆ เวทีที่เกิดขึ้นตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาในการผลักดันโครงการนี้ บริษัทฯและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในจังหวัดและกรมกองของ อก. จะทำทุกวิถีทางในการต้อนคนทั้งที่เห็นด้วยและไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาลงชื่อ นั่งกันอยู่เฉย ๆ สามชั่วโมงตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงเที่ยงโดยไม่มีปากมีเสียง/แสดงความคิดเห็นอะไร (เพื่อให้ครบเวลาที่หน่วยงานราชการระบุไว้ว่าการจัดเวทีต้องจัดอย่างน้อยสามชั่วโมง แต่กลับไม่ระบุว่าในสามชั่วโมงนั้นต้องเสนอและต้องได้เนื้อหาอะไรกลับมาบ้าง และไม่ระบุว่าในเวทีต้องมีสัดส่วนของผู้เห็นต่างด้วยจึงจะครบองค์ประกอบ/องค์ประชุม) และทำทุกวิถีทางในการกันคนเห็นต่างไม่ให้เข้าร่วมเวที แม้ต้องใช้กำลังตำรวจพร้อมอุปกรณ์คุมฝูงชนและ อส. หลายร้อยนายก็ตาม ถึงขั้นที่ในยุครัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. จัดเวทีในห้องประชุมเทศบาล/อบต. ในพื้นที่ไม่ได้ก็เข้าไปจัดในค่ายทหารแทน
ทั้ง ๆ ที่โครงการเหมืองแร่โปแตชจังหวัดอุดรธานีครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่มาก เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้เสียจำนวนมาก จำเป็นต้องคำนึงถึงทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน ทั้งด้านเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม สุขภาพและเศรษฐกิจ เพื่อที่จะต้องทำทุกวิถีทางในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน คุณภาพชีวิต การมีสุขภาพอนามัยที่ดีของประชาชนและเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน แต่เวทีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมากลับสร้างความเข้าใจและการรับรู้แก่ประชาชนในพื้นที่ไม่ถึง 15 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งเป็น 15 เปอร์เซ็นต์ที่กันผู้เห็นต่างซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงที่ถูกระบุไว้ในกฎหมายแร่ทั้งฉบับเก่าและฉบับใหม่ออกไปด้วย เป็น 15 เปอร์เซ็นต์ของผู้เห็นด้วยและผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับโครงการฝ่ายเดียวเท่านั้น
ในมติ ครม. ฉบับนี้, 28 มิถุนายน 2565 จะเห็นได้ชัดถึงความละอายของกระทรวงอุตสาหกรรม กพร. และ ครม. ประยุทธ์ที่ไม่สามารถจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 ได้จริง จึงมีมติให้ยกเลิกมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 (เรื่อง รายงานข้อมูลข้อเท็จจริงกรณีโครงการทำเหมืองแร่โปแตชในประเทศไทย) เฉพาะในส่วนของข้อ 2 เสียเลย เพื่อลบล้างผลผูกพันที่เกรงว่ากระทรวงอุตสาหกรรม กพร. และ ครม. ประยุทธ์จะถูกดำเนินการร้องเรียนและฟ้องคดีจากประชาชนเพื่อเอาผิดในอนาคตได้
นี่คือเนื้อหาที่ระบุไว้ในมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 (เรื่อง รายงานข้อมูลข้อเท็จจริงกรณีโครงการทำเหมืองแร่โปแตชในประเทศไทย) เฉพาะในส่วนของข้อ 2 ดังนี้ “ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการทำเหมืองแร่โปแตชในเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ผลดีและประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการนี้ในอนาคต และให้กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการข้างต้นต่อคณะรัฐมนตรีโดยจะต้องมีความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีก่อนที่จะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป”
ในเนื้อหาของมติ ครม. ก็บอกไว้ชัดเจนว่าไม่เพียงชี้แจงทำความเข้าใจ แต่จะต้อง ‘สร้างการรับรู้’ ให้แก่ประชาชนด้วย ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากจากบริษัทฯและส่วนราชการในการสัมพันธ์กับประชาชนในพื้นที่จำนวนมาก อย่างกว้างขวางและลึกซึ้งเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทั้งสองประการ คือ ‘ชี้แจงทำความเข้าใจ’ และ ‘สร้างการรับรู้’
แต่สิ่งที่บริษัทฯและส่วนราชการทำกลับบิดเบือนความเข้าใจและบิดเบือนความรับรู้ของประชาชนในพื้นที่ มุ่งแต่ปั่นหัวผู้เห็นด้วยจำนวนน้อยให้เกลียดชังผู้เห็นต่าง และเกณฑ์คนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีกจำนวนหนึ่งขึ้นมาแล้วอ้างว่าเป็นผู้ที่เห็นด้วยกับโครงการแล้ว จึงเกิดเป็นการสร้างความขัดแย้งขึ้นมาแทน
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ