พบ 'ภาระค่าใช้จ่ายการศึกษารับเปิดเทอม' กทม. สูงกว่าทั้งประเทศ 2 เท่า

กองบรรณาธิการ TCIJ 18 พ.ค. 2565 | อ่านแล้ว 2841 ครั้ง

พบ 'ภาระค่าใช้จ่ายการศึกษารับเปิดเทอม' กทม. สูงกว่าทั้งประเทศ 2 เท่า

สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) เปิดข้อมูล 'ภาระค่าใช้จ่ายการศึกษารับเปิดเทอม' พบ กทม. สูงกว่าทั้งประเทศ 2 เท่า ครัวเรือนจนสุด-รวยสุด ใช้จ่ายห่างกันถึง 12 เท่า เสนอปรับสูตรจัดสรรงบประมาณ

เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2565 ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค รักษาการผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่าจากการวิเคราะห์ข้อมูลสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในกรุงเทพมหานคร พบว่า กทม.นับเป็นพื้นที่ซึ่งมีช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนสูงที่สุดในประเทศไทย

จากข้อมูลการคัดกรองนักเรียนทุนเสมอภาค สังกัด สพฐ. ในกรุงเทพมหานคร พบว่าครอบครัวของเด็กยากจนพิเศษของกรุงเทพฯ มีรายได้เพียง 1,964 บาทต่อคนต่อเดือน ต่ำกว่าเส้นความยากจนของสภาพัฒน์ ซึ่งอยู่ที่ 2,762 บาทต่อคนต่อเดือน ทั้งนี้ โควิด-19 ทำให้รายได้ครัวเรือนยากจนพิเศษทั้งประเทศลดลง คิดเป็น 7% เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนมีสถานการณ์ โควิด-19

ดร.ภูมิศรัณย์ กล่าวต่อว่า ข้อมูลจากการสำรวจสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนล่าสุดเมื่อ พ.ศ.2564 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าคนกรุงเทพฯ ต้องจ่ายค่าอุปโภคบริโภคต่อครัวเรือนเฉลี่ย 13,738 บาทต่อเดือน ค่าใช้จ่ายดังกล่าวสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ 1.5 เท่า

นอกจากนี้ จากการสำรวจค่าใช้จ่ายทางการศึกษาของเด็กนักเรียนที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ในพื้นที่กรุงเทพฯ พบว่า เด็กกรุงเทพฯมีค่าใช้จ่ายทางการศึกษาเฉลี่ย 37,257 บาทต่อคนต่อปี ในจำนวนนี้เป็นค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมการศึกษาสูงถึง 26,247 บาท ที่เหลือเป็นค่าเสื้อผ้าและเครื่องแบบ 2,072 บาท ค่าหนังสือ เครื่องเขียน และอุปกรณ์ 2,175 บาท และค่าเดินทาง 6,763 บาท ตัวเลขเฉลี่ยเหล่านี้สูงกว่าทุกพื้นที่ในประเทศไทย สูงกว่าเฉลี่ยของทั้งประเทศซึ่งมีค่าใช้จ่าย 17,832 บาทต่อคนต่อปี ถึง 2 เท่า

“ตัวเลขนี้กำลังบอกเราว่า คนกรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับปัญหาค่าครองชีพที่สูงกว่าจังหวัดอื่น ๆ ในแทบทุกมิติ ทั้งด้านค่าใช้จ่ายครัวเรือน รวมถึงค่าใช้จ่ายทางการศึกษา และแม้ประเทศไทยจะมีนโยบายเรียนฟรี 15 ปี แต่พบว่ายังไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทางการศึกษาอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะสำหรับครัวเรือนยากจน ยิ่งคำนึงถึงสถานการณ์เงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา อาจต้องถึงเวลาปรับสูตรการจัดสรรทรัพยากรทางการศึกษาอีกครั้งเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ การเพิ่มทรัพยากรทางการศึกษาสำหรับโรงเรียนด้อยโอกาส รวมถึงเพิ่มการจัดสรรสวัสดิการทางสังคมด้านอื่น ๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตเด็กกทม. เช่น บัตรสวัสดิการนักเรียน” ดร.ภูมิศรัณย์ กล่าว

นอกจากนี้ เนื่องจากปฐมวัยถือเป็น ช่วงวัยที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาคุณภาพชีวิต จึงควรมุ่งพัฒนา ยกระดับคุณภาพศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวันเรียนของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีอยู่ 290 แห่ง เพื่อดูแลบุตรหลานครอบครัวยากจน คนหาเช้ากินค่ำในกทม. กลุ่มผู้มีรายได้น้อย โดยเพิ่มมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย เพิ่มสวัสดิการครูพี่เลี้ยง และอาสาสมัคร การเชื่อมฐานข้อมูลเด็กปฐมวัยและส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

หากเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของเด็กที่มาจากครัวเรือนยากจน 10% ล่างสุดของกรุงเทพฯ จะอยู่ที่ 6,600 บาทต่อคนต่อปี ในขณะที่เด็กที่มาจากครัวเรือนที่รวยที่สุด 10% แรกของกรุงเทพฯ มีค่าใช้จ่ายทางการศึกษาที่สูงถึง 78,200 บาทต่อคนต่อปี ตัวเลขห่างกันถึง 12 เท่า ค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันอย่างมากบ่งบอกถึงคุณภาพการศึกษาที่นักเรียนกลุ่มยากจนและกลุ่มที่มีฐานะดี มีโอกาสได้รับแตกต่างกัน (การสำรวจสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ.2564 สำนักงานสถิติแห่งชาติ)

ด้าน ทองพูล บัวศรี ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน (ไซต์ก่อสร้างและริมทางรถไฟ) กล่าวว่า เราจำเป็นต้องอธิบายถึงภาวะที่ครอบครัวต่าง ๆ ประสบ อันเป็นผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ประเด็นแรกคือการตกงาน ขาดรายได้ เป็นสภาวะ ‘จนเฉียบพลัน’ ที่เดิมแม้จะมีรายได้น้อย แต่ยังพอประคองชีวิตให้อยู่รอดได้ แต่เมื่อธุรกิจหลายอย่างปิดตัวลง เกิดปัญหาเศรษฐกิจที่กินวงกว้าง งานรับจ้างรายวันที่เคยมีจึงหายไป ทำให้ไม่มีรายได้เข้าสู่ครอบครัวเลย

ประเด็นต่อมาคือเหตุ ‘อุบัติ’ ในครอบครัว หมายถึงเคสที่คนหารายได้หลักในบ้านเสียชีวิตจากโควิด-19 ทิ้งให้อีกหลายชีวิตเจอกับความยากลำบากยิ่งขึ้น หรือบางบ้านผู้ปกครองเสียศูนย์จากวิกฤต เด็กจึงต้องออกจากโรงเรียนเพื่อทำงานหารายได้ดูแลน้อง ๆ

นอกจากนี้ ปัญหารุมเร้ายังนำมาสู่ความเครียด เป็นบ่อเกิดของความรุนแรงในครอบครัวที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ประเด็นที่สามคือการที่เด็ก ๆ ถูกผลักจากครอบครัวให้ลงไปอยู่บนท้องถนนมากขึ้น เราจะเห็นเด็กที่เร่ขายของตามสี่แยก หรือตามแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนบริเวณย่านใจกลางเมือง

ทองพูล กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ก่อนเปิดเทอมเพื่อนำสิ่งของบริจาคไปมอบให้เด็ก ๆ ในพื้นที่ชุมชนหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร ข้อมูลบ่งชี้ว่า รองเท้านักเรียนมีราคาต่อคู่อยู่ที่ประมาณ 320 บาท เสื้อนักเรียนตัวละประมาณ 200 บาท กระโปรงหรือกางเกงราว 250 บาท กระเป๋านักเรียนราคาเฉลี่ย 200 กว่าบาท ยังไม่รวมว่ามีค่าชุดพละ 250 บาท

ชุดลูกเสือซึ่งต้องมีส่วนประกอบของเครื่องแบบเช่น ผ้าพันคอ หมวก วอกเกิ้ล เข็มขัด ฯลฯ รวมแล้วตกราว 650 บาท หรือในส่วนนักเรียนหญิงจำเป็นต้องมีรองเท้าผ้าใบสำหรับชั่วโมงพละร่วมด้วย เมื่อคิดมูลค่าของทั้งหมดรวมเบ็ดเสร็จ ค่าใช้จ่ายจึงมีมากกว่า 2,000 บาทต่อคน ซึ่งแน่นอนว่าหลายครอบครัวที่ไม่มีรายได้หรือรายได้ลดลง ต้องนับว่าเป็นภาระที่หนักมากในช่วงเวลานี้

“นอกจากนี้เราต้องไม่ลืมว่า แม้เด็กส่วนใหญ่ไม่เสียค่าเทอม แต่ยังมีค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าประกันอุบัติเหตุ 500 บาท หรือค่าจ้างพิเศษในส่วนของครูสอนภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ค่าเรียนคอมพิวเตอร์ ประมาณ 300 บาทต่อวิชา รวมแล้วค่าธรรมเนียมเหล่านี้จึงมากกว่า 1,000-2,000 บาทต่อคน เหล่านี้คือค่าใช้จ่ายแท้จริงที่ส่งผลต่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กเยาวชนคนหนึ่ง ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองต้องแบกรับ และหมายความไปถึงความมั่นคงทางการศึกษาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ที่เด็กจะอยู่ในระบบการศึกษาต่อไปได้จนถึงปลายทาง” ทองพูล กล่าว

ขณะที่ ณัฏฐนาท ปฐมวรชัย เครือข่ายผู้ปกครองในสถานศึกษา กล่าวว่า ตลอดการศึกษาของลูกชายใน 14 ปี พบว่าไม่เคยได้เรียนฟรีเลย ซึ่งขณะนี้ลูกชายของแม่มดกำลังขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แม้เป็นโรงเรียนรัฐบาลแต่ก็ยังต้องเสียค่าใช้ให้สถานศึกษาปีละประมาณ 7,000 บาท ร่วมกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์การเรียน หรือค่าเดินทาง จะตกอยู่ที่ปีละประมาณ 20,000 บาท แต่เมื่อย้อนไปก่อนหน้านั้นในชั้นประถมศึกษาน้องเรียนโรงเรียนเอกชนสอน 3 ภาษา ทำให้ปีนึงค่าใช้จ่ายอยู่ที่ปีละ 100,000 กว่าบาท พอขึ้นมัธยมศึกษาตอนต้นแม้เป็นโรงเรียนรัฐบาลแต่เรียนในห้องอีพี ทำให้เสียค่าใช้มากกว่าห้องเรียนอื่น ๆ อยู่ที่ปีละประมาณ 50,000 บาท

ทั้งนี้ แม้พ่อมีรายได้พอสมควรจากอาชีพวิศวกรคอมพิวเตอร์ แต่ก็เป็นรายได้ทางเดียวของครอบครัวที่เลี้ยงชีวิตทั้ง 4 คนทั้ง พ่อ แม่ ลูกชาย และคุณย่า


ที่มา: ข่าวสด | Nation TV


 

 

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: