นักวิชาการวิเคราะห์อนาคตของสหราชอาณาจักรในรัชสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 คาดจะมีการปฏิรูปสถาบันฯ ให้เป็นภาระทางการคลังต่อประชาชนผู้เสียภาษีน้อยลง กระแสสาธารณรัฐที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ระบอบกษัตริย์อังกฤษปรับตัวให้สอดคล้องกับยุคศตวรรษที่ 21 มากกว่าเดิม | ที่มาภาพ: The Royal Family
เมื่อช่วงต้นเดือน ก.ย. 2565 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ แจ้งต่อสื่อมวลชนแสดงความเห็นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่รัชกาลใหม่ของสหราชอาณาจักรจากรัชสมัยของพระนางเจ้าเอลิซาเบธ สู่ รัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ได้ดำเนินการตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือกษัตริย์ภายใต้กฎหมายด้วยความเรียบร้อยตามพระราชประเพณี สร้างเสถียรภาพต่อระบบการเมืองอันเป็นปัจจัยพื้นฐานในการแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ Stagflation อันเป็นภาวะเงินเฟ้อสูงและเศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้นพร้อมกัน ของสหราชอาณาจักร ขณะที่อังกฤษก็เพิ่งได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่ต้องมาทำหน้าที่แก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ท่าทีต่อปัญหาสงครามในยูเครนและการดำเนินนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลใหม่ย่อมส่งผลต่อดุลอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจโลก การดำเนินการออกจากอียูให้เรียบร้อย การเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับไทยกับสหรัฐอเมริกา กับประเทศอื่นๆ แบบทวิภาคี และ พหุภาคีกับอาเซียนล้วนส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจในภูมิภาค
ประเด็นใหญ่ที่รัฐบาลและกษัตริย์องค์ใหม่ต้องเผชิญร่วมกัน
ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในสหราชอาณาจักรและยุโรปเป็นประเด็นเร่งด่วนและประเด็นใหญ่ที่รัฐบาลใหม่และกษัตริย์องค์ใหม่ต้องเผชิญร่วมกัน ปัญหาการขาดแคลนพลังงานและราคาพลังงานพุ่งสูงจะเป็นปัญหาใหญ่ของยุโรปในช่วงฤดูหนาวจากการคว่ำบาตรของรัสเซีย พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงเป็นผู้สนพระทัยอย่างยิ่งต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อน คาดว่ากษัตริย์พระองค์ใหม่น่าจะมีบทบาทสำคัญในการรณรงค์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอน ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในยุโรปและสหราชอาณาจักร อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ บทบาทการรณรงค์เชิงรุกในเรื่องดังกล่าวจะมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายการค้าของสหราชอาณาจักรและยุโรปที่ก็ให้ความสำคัญต่อเรื่องดังกล่าวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาจนำมาสู่ มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff Barriers) ไม่ว่าจะเป็นประเด็นสิ่งแวดล้อม ประเด็นวิกฤติการเปลี่ยนแปลงชั้นบรรยากาศและความแปรปรวนอย่างรุนแรงของภูมิอากาศ (Climate Crisis) ประเด็นอนุรักษ์สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ ประเด็นการทำลายพื้นที่ป่า (Deforestation) ประเด็นมลพิษในมหาสมุทร ขณะเดียวกัน ประเด็นเหล่านี้จะถูกนำมาสู่การหารือในเวทีนานาชาติเพื่อแสวงหาความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม อย่างไร บทบาทของเจ้าฟ้าชาร์ลส์ในอดีตต่อประเด็นสาธารณะต่างๆอาจลดได้จากการที่พระองค์ในฐานะกษัตริย์องค์ใหม่ต้องมีบทบาทในพระราชพิธีต่างๆ งานพิธีการต่างๆ มากขึ้น เป็น ceremonial figure, strictly removed from politics.
การปฏิรูปสถาบันฯ ให้เป็นภาระทางการคลังต่อประชาชนผู้เสียภาษีน้อยลง-สอดคล้องกับกษัตริย์ยุคศตวรรษที่ 21
ประเด็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนจะถูกพูดถึงมากขึ้นในรัชสมัยของกษัตริย์พระองค์ใหม่ พร้อมกับการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้เป็นภาระทางการคลังต่อประชาชนผู้เสียภาษีน้อยลงท่ามกลางปัญหาฐานะการคลังของรัฐบาลอังกฤษ กระแสสาธารณรัฐที่เพิ่มขึ้น ทั้งในสหราชอาณาจักร ในประเทศเครือจักรภพ และทั่วโลก จะทำให้ระบอบกษัตริย์อังกฤษต้องมี “กษัตริย์” ที่สอดคล้องกับกษัตริย์ยุคศตวรรษที่ 21 มากยิ่งกว่าเดิมเพื่อให้ “สถาบันกษัตริย์” อันเป็นสถาบันเก่าแก่มีพัฒนาการที่สอดคล้องกับยุคใหม่มากขึ้น กรณีประเทศในเครือจักรภพจะยกเลิกสถาบันกษัตริย์หรือทยอยถอด “กษัตริย์อังกฤษ” ออกจากการเป็นประมุขของประเทศจะเกิดขึ้นตามประเทศบาร์เบโดสที่เลือกประมุขผ่านกลไกรัฐสภา มีการเปลี่ยนผ่านจาก ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ เป็น ระบอบประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง อย่างสันติด้วยการลงประชามติ กรณีบาร์เบโดสยกเลิกระบอบกษัตริย์เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2564 ตามประเทศมอริเชียสที่ได้ดำเนินการยกเลิกระบอบกษัตริย์ไปเมื่อปี พ.ศ. 2535
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่าในการเฉลิมฉลองสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่การเป็นสาธารณรัฐของประเทศบาร์เบโดสเมื่อปีที่แล้วอย่างสันติด้วยการลงประชามติของประชาชน นั้น เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ ซึ่งต่อมาเป็น พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักรและประเทศเครือจักรภพก็ได้เข้าร่วมงานรัฐพิธีนี้ด้วย และ ยังได้กล่าวแสดงจุดยืนอันน่าชื่นชมของพระองค์ท่าน ในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงเพื่อเริ่มต้นใหม่ พร้อมยอมรับความผิดผลาดในอดีตของจักรวรรดิอังกฤษในการสร้างระบบทาสอันกดขี่ขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกและบาร์เบโดสเป็นแห่งแรกๆ โดยพระองค์ตรัสยอมรับถึง “ระบบทาสอันโหดร้าย” ที่บาร์เบโดสเคยเผชิญมาในอดีตจากน้ำมือจักรวรรดิอังกฤษ จึงมีความเชื่อมั่นว่า “กษัตริย์พระองค์ใหม่” ของสหราชอาณาจักรจะร่วมกับประชาชนผู้ยึดถือ “สิทธิมนุษยชน” ต่อต้าน “การเหยียดหยามเชื้อชาติหรือสีผิว” รณรงค์ให้ปัญหาการค้าแรงงานทาสและการเหยียดเชื้อชาติหรือสีผิว ให้ลดน้อยลงและโลกมีสันติธรรม มีสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น บทบาทของกษัตริย์พระองค์ใหม่และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสหราชอาณาจักรต่อปัญหาสงครามและความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย อาจทำให้แนวโน้มของสงครามและผลกระทบเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ยังได้แสดงสุนทรพจน์อย่างเป็นทางการครั้งแรกด้วยการกล่าวปฏิญาณว่า จะรับใช้ประชาชนสหราชอาณาจักรด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยความเคารพและความรัก (would serve the British people with loyalty, respect and love) และสนันสนุนยืนยันปกป้องหลักการของรัฐธรรมนูญอันเป็นหัวใขของประเทศ (Uphold the constitutional principles at the heart of our nation)
กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในยุโรป
ประเทศในยุโรปรวมทั้งอังกฤษที่ยังมีสถาบันกษัตริย์อยู่ล้วนเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญาแห่งยุโรปเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน (European Convention for the Protection of Human Rights and Fundamental Freedoms – ECHR) ประเทศเหล่านี้รวมทั้งสหราชอาณาจักรแทบจะไม่บังคับใช้กฎหมายหมิ่นเดชานุภาพแล้ว สมาชิกรัฐสภาแห่งยุโรปได้เรียกร้องให้การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่ถือเป็นความผิดอาญา (Decriminalisation) ในยุโรป การลงโทษก็เป็นแต่เพียงการลงโทษแบบลหุโทษในกรณีที่หลังจากสอบสวนด้วยความยุติธรรมแล้วว่าเป็นการหมิ่นจริงๆ ไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ การวิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ต่อสถาบันกษัตริย์และตัวกษัตริย์สามารถกระทำได้ในสหราชอาณาจักรและในประเทศยุโรปอื่นๆที่ยังมีสถาบันกษัตริย์อยู่
ในประเทศสหราชอาณาจักรกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอยู่ในสภาพเลิกบังคับใช้มานานแล้ว ขณะที่ประเทศเดนมาร์กและนอร์เวย์ก็ไม่มีตัวอย่างเกี่ยวกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมานานมากๆแล้ว สำรวจดูคำพิพากษาของศาลเนเธอร์แลนด์พบว่า มีเพียงไม่กี่คดีที่ถูกศาลพิพากษาว่า มีความผิดจริงและมีการลงโทษเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพราะไม่ใช่อาญากรรม ในบทความ ของ ชัคโค ฟาน เดน เฮาท์ (Tjaco Van Den Hout) เรื่อง “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของยุโรป กับ เสรีภาพในการแสดงความเห็น” ตอนหนึ่งได้ยกตัวอย่าง คดีระหว่าง นักหนังสือพิมพ์ และ กษัตริย์ฮัสซันที่ 2 แห่งโมร็อกโก ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปตัดสินว่า การตรากฎหมายหมิ่นประมาทเพื่อคุ้มครองประมุขของรัฐเป็นกรณีพิเศษไม่ได้ขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของอนุสัญญาแห่งยุโรปเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานก็ตาม แต่กฎหมายหมิ่นประมาทธรรมดาก็ เพียงพอสำหรับการปกป้องคุ้มครองประมุขของรัฐและพลเมืองธรรมดาสามัญจากการวิพากษ์วิจารณ์อันเป็นการทำลายเกียรติยศชื่อเสียงของพวกเขา
การบังคับใช้กฎหมายมาตรา 112 ในกรณีของไทย
กรณีของไทย ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ได้มีการอาศัย “สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือทางการเมืองกล่าวหาบุคคลอื่นในความผิดฐานหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างพร่ำเพรื่อไร้เหตุผลในหลายกรณี มีการยัดข้อหา ยัดคดีให้กับเยาวชนผู้เป็นอนาคตของชาติ ดำเนินคดีหมิ่นกับผู้เห็นต่างทางการเมืองหรือคู่ขัดแย้งทางการเมืองอย่างไม่เป็นธรรม และ ขัดกับมโนสำนึกแห่งความเป็นธรรม ภาวะเหล่านี้ล้วนทำลายหลักการปกครองของไทยที่มุ่งยกสถานะสถาบันกษัตริย์ให้อยู่เหนือการเมือง เหนือความขัดแย้ง นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตย ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา สถาบันกษัตริย์อยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐภายใต้รัฐธรรมนูญ ฐานะของประมุขแห่งรัฐกำหนดให้พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในที่เคารพสักการะ
ในประวัติศาสตร์การเมือง การต่อสู้แข่งขันในหลายช่วงเวลาได้มีการทำลายล้างคู่แข่งหรือศัตรูทางการเมือง หรือ ความเห็นต่างทางการเมือง ด้วยข้อหาไม่จงรักภักดีและการหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์ ข้อกล่าวหาในหลายกรณีเป็น การยัดข้อหาหรือคดีให้กับผู้ที่แสดงความเห็นโดยสุจริตถึง ฐานะ และ ความสัมพันธ์ของสถาบันกษัตริย์กับระบอบการปกครอง บทบาทหน้าที่ของสถาบันกษัตริย์ต่อรัฐธรรมนูญ การสร้างความยุติธรรมให้กับผู้ที่ถูกดำเนินคดีที่แสดงความเห็นโดยสุจริตจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การบังคับใช้กฎหมายมาตรา 112 ในกรณีของไทยจึงต้องเป็นตามหลักนิติรัฐและไม่ละเมิดต่อหลักการสิทธิมนุษยชนอันเป็นสิทธิพื้นฐานที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับมนุษย์ทุกคนในโลกใบนี้.
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ