Rocket Media Lab: สำรวจค่าแรงขั้นต่ำทั่วโลกและไทย ทำไมถึงยังไม่ขึ้นค่าแรง

กองบรรณาธิการ TCIJ 21 มี.ค. 2565 | อ่านแล้ว 9825 ครั้ง

'Rocket Media Lab' สำรวจค่าแรงขั้นต่ำทั่วโลกและไทย ทำไมถึงยังไม่ขึ้นค่าแรง พบประเทศที่ไม่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี 2021-2022 มีจำนวน 84 แห่ง รวมถึงประเทศไทย | ที่มาภาพ: กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

Rocket Media Lab รายงานเมื่อช่วงเดือน ก.พ. 2565 ว่าตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงัก ประเทศไทยเองก็เช่นเดียวกัน จากรายงานของสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค ระบุว่าเศรษฐกิจโลกหดตัวร้อยละ 3.5 และเกือบทุกประเทศทั่วโลกมีการเติบโตติดลบ

การชะงักของเศรษฐกิจถูกหยิบยกมาเป็นเหตุผลในการพิจารณาการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ทั้งการที่จะขึ้นหรือไม่ขึ้น หรือหากขึ้นจะส่งผลให้ค่าอาหาร วัตถุดิบ สูงขึ้นตามหรือไม่ แต่ในขณะเดียวกัน จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย ระบุว่าหลังรัฐประหาร 7 ปี นับตั้งแต่พฤษภาคม 2014 จนถึงปี 2021 ราคาอาหารเพิ่มขึ้น 55.9% หรือหากเทียบต่อปี ก็เท่ากับเพิ่มขึ้นปีละ 6.5% 

Rocket Media Lab ชวนมาสำรวจค่าแรงขั้นต่ำทั่วโลกในช่วงปีนี้และปีที่ผ่านมา ที่แม้ว่าทั่วโลกจะประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 เหมือนกัน ว่ามีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำกันบ้างไหม  

หรือมีแต่ประเทศไทยที่ไม่ขึ้น 

โควิดมา เศรษฐกิจตกต่ำ แล้วค่าแรงขึ้นบ้างไหม? 

จากการทำงานของ Rocket Media Lab พบว่า ประเทศ/ดินแดน ที่ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี 2022 มีจำนวน 61 แห่ง จาก 199 แห่งที่สำรวจ แบ่งเป็นประเทศที่ประกาศขึ้นเฉพาะในปี 2022 จำนวน 16 แห่ง และประเทศที่มีการขึ้นค่าแรงทั้งในปี 2021 และในปี 2022 จำนวน 45 แห่ง

หากพิจารณาของประเทศที่ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉพาะในปี 2022 จะพบว่ากระจายตัวกันไปในทุกทวีป และส่วนใหญ่เป็นประเทศในแถบยุโรป

ประเทศที่มีการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี 2022 เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี โปรตุเกส สหราชอาณาจักร ฯลฯ อย่างในกรณีของเยอรมนี เรียกได้ว่าในปี 2022 นี้มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสองครั้ง โดยครั้งแรกมีผล 1 มกราคม ที่ผ่านมา ค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเป็น 9.82 ยูโร หรือ 374.13 บาทต่อชั่วโมง จากเดิมคือ 9.60 ยูโรหรือ 358.36 บาทต่อชั่วโมงในปี 2021 (เพิ่มขึ้นมา 22 เซนต์) หรือ 3.64% นอกจากนี้รัฐบาลเยอรมันยังประกาศอีกว่า จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีกครั้งเป็น 10.45 ยูโรในวันที่ 1 กรกฎาคม 2022 

ในส่วนของเอเชียก็มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี 2022 เช่นเดียวกัน เช่น กัมพูชา จีน (บางมณฑล) อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ฯลฯ อย่างในกรณีของประเทศจีนในปี 2022 มีสามมณฑลที่ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ได้แก่ ฉงชิ่งและฝูเจี้ยน ขึ้นเป็น 21 หยวนต่อชั่วโมง และเหอหนาน ขึ้นเป็น 19.6 หยวน ต่อชั่วโมง 

เมื่อพิจารณาประเทศที่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั้งในปี 2022 และปี 2021 จะพบว่ามีมากถึง 45 แห่ง ด้วยกัน เช่น ตุรกี ไต้หวัน สเปน เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ เนเธอร์แลนด์ เม็กซิโก กานา อียิปต์ ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในแถบยุโรป อย่างในกรณีของโคลอมเบีย ประกาศขึ้นค่าแรงเป็น 1,000,000 เปโซโคลอมเบีย ต่อเดือน ซึ่งถือว่าขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี โดยเพิ่มมา 11.18% อย่างไรก็ตาม เงินเดือนในโคลอมเบียก็ยังคงต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น อุรุกวัยซึ่งอยู่ที่ประมาณ 406 ดอลลาร์ (13,386.23 บาท) ปารากวัย 335 ดอลลาร์ (11,045.29 บาท) และโบลิเวีย 314 ดอลลาร์ (10,352.89 บาท) 

ในส่วนประเทศที่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉพาะในปี 2021 ที่ผ่านมา มีจำนวน 32 ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น อินเดีย ฮ่องกง ชิลี เบอร์กินาฟาโซ ออสเตรเลีย บาฮามาส แองโกลา มาลาวี ซีเรีย  เวเนซุเอลา ฯลฯ อย่างไรก็ตาม แม้กรณีของเวเนซุเอลา ที่ประกาศเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในปี 2021 เป็น 7 ล้านโบลิวาร์เวเนซุเอลาต่อเดือน บวกกับคูปองค่าอาหารที่รัฐบาลให้อีก 3 ล้านโบลิวาร์เวเนซุเอลา รวมเป็น 10 ล้านโบลิวาร์ แต่เวเนซุเอลาเกิดภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง (hyperinflation) อยู่ที่ 5,500%

เมื่อพิจารณาสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 พบว่า เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ธนาคารโลกรายงานว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัวต่อปี ของปี 2020 อยู่ที่ -4.39% อย่างไรก็ตามแม้ได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจ หลายประเทศก็ยังเลือกที่จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั้งในปี 2021 และ 2022 ซึ่งมีมากถึง 93 ประเทศ

ในส่วนของประเทศที่ไม่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในรอบปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน พบว่ามีจำนวน 84 แห่งจาก 199 แห่งที่สำรวจ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในแถบแอฟริกา เช่น อูกันดา โตโก เวียดนาม ซูดาน ฟิลิปปินส์ เปรู เกาหลีเหนือ พม่า มาเลเซีย รวมไปถึงประเทศไทย โดยประเทศที่ไม่ได้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมาอย่างยาวนานที่สุดก็คือโคโซโว ที่ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำล่าสุดในปี 2011 อยู่ที่ชั่วโมงละ 1.06 ยูโร (40.48 บาท) ถือว่าเป็นประเทศที่ค่าแรงขั้นต่ำต่ำที่สุดในยุโรป นอกจากนี้ยังมีเบลิซ ก็ไม่ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งค่าแรงต่อชั่วโมงอยู่ที่ 3.3 ดอลลาร์เบลีซ (53.52 บาท) เช่นเดียวกับภูฏานที่ไม่ขึ้นค่าแรงมาตั้งแต่ปี 2014 ยังคงค่าแรงไว้ที่ชั่วโมงละ 23.43 งุลตรัมภูฏาน (10.18 บาท) สาธารณรัฐกินีก็คงค่าแรงไว้ตั้งแต่ปี 2015 โดยอยู่ที่ชั่วโมงละ 2,291.67 ฟรังก์กินี (8.29 บาท) ในขณะเดียวกันก็มีประเทศที่เพิ่งจะขึ้นไปในปี 2020 เช่น มาเลเซีย ชั่วโมงละ 5.77 ริงกิตมาเลเซีย (45.04 บาท)  เวียดนาม ชั่วโมงละ 27,625 ดงเวียดนาม (38.83 บาท) เป็นต้น 

นอกจากนี้ มีบางประเทศที่เพิ่งจะกำหนดค่าแรงขั้นต่ำขึ้น เช่น มัลดีฟส์ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมัลดีฟส์ออกคําสั่งตามพระราชบัญญัติการจ้างงานเพื่อกําหนดค่าจ้างขั้นต่ำครั้งแรกในมัลดีฟส์ ซึ่งค่าจ้างขั้นต่ำจะมีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2022 ถือเป็นการประกาศการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำครั้งแรก คิดเป็นชั่วโมงละ 21.63 รูฟียาห์มัลดีฟส์ หรือ 46.53 บาทต่อชั่วโมง

และในส่วนของประเทศที่ไม่มีการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ 22 ประเทศ เช่น เดนมาร์ก ฟินแลนด์ สวีเดน อิตาลี ลิกเทนสไตน์ สิงคโปร์ ฯลฯ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการขึ้นค่าแรง แต่จะเป็นการกำหนดกันเองบนความเสมอภาคระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง โดยที่รัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซง หรืออย่างในกรณีของสิงคโปร์ แม้จะไม่ได้กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ แต่มีการประกันราคาสำหรับบางอาชีพ เช่น พนักงานทำความสะอาดต้องได้รับค่าแรงขั้นต่ำต่อเดือนคือ 1,274 ดอลลาร์สิงคโปร์ นอกจากนี้ยังมีการออกกฎหมายปรับค่าแรงแบบขั้นบันไดทุกปีไว้อีกด้วย 

ประเทศไหนขึ้นค่าแรมากที่สุดในโลก?

เมื่อพิจารณาร้อยละส่วนต่างของค่าแรงของปี 2021 และปี 2022 พบว่าประเทศที่ค่าแรงขั้นต่ำปรับสูงขึ้นมากที่สุดในโลก คือ มอนเตเนโกร เพิ่มขึ้นมาจากเดิมในปี 2021 ถึง 82% โดยปี 2022 ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่  2.8125 ยูโร หรือ 105.32 บาทต่อชั่วโมง จากเดิม 1.56 ยูโรหรือ 57.77 บาทต่อชั่วโมง

รองลงมาคือ สาธารณรัฐแอฟริกากลาง ค่าแรงขั้นต่ำสำหรับภาคเอกชนในปี 2022 เพิ่มขึ้นเป็น 29,000 ฟรังก์เซฟาแอฟริกากลาง (XAF) ต่อเดือน จากเดิม 18,850 XAF ซึ่งอยู่ในอัตราดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2013 ถือว่าเพิ่มขึ้นถึง 58.39% ขณะที่ข้าราชการได้เงินเดือนขั้นต่ำ 35,000 XAF ต่อเดือนมาตั้งแต่ 2018 แล้ว

สำหรับประเทศที่มีค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นเป็นร้อยละสูงที่สุดในลำดับถัดมาคือ ตุรกี คาซัคสถาน กายอานา เม็กซิโก ลักเซมเบิร์ก ฮังการี สาธารณรัฐโดมินิกัน และอาเซอร์ไบจาน

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า แม้ในบางประเทศมีส่วนต่างการขึ้นค่าแรงที่สูง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับค่าครองชีพ กลับพบว่าส่วนต่างที่เพิ่มมาดังกล่าวอาจไม่ทำให้มีกำลังซื้อที่มากขึ้นก็ได้

เช่นกรณีของสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ที่ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นถึง 58.39% แต่ด้วยภาวะเงินเฟ้อ ค่าเงินต่ำ ฐานค่าแรงขั้นต่ำเดิมที่ต่ำจนเกินไป (ไม่ได้ปรับขึ้นมาตั้งแต่ปี 2013) และค่าครองชีพที่สูงมากจากการขาดเสถียรภาพทางการเมืองและไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอ ทำให้ส่วนต่างค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นมาไม่สามารถซื้อน้ำดื่มได้แม้แต่ขวดเดียว ขณะที่ลักเซมเบิร์ก ซึ่งค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นน้อยกว่า คือเพิ่มขึ้น 23% (จาก 13.046 ยูโรต่อชั่วโมง เป็น 15.66 ยูโรต่อชั่วโมง) แต่ส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นมาสามารถซื้อน้ำดื่มได้มากกว่า 4 ขวด 

ดังนั้นการจะพิจารณาว่าค่าแรงขั้นต่ำประเทศใดขึ้นมากหรือน้อย จึงไม่อาจพิจารณาเพียงส่วนต่างของร้อยละการขึ้นได้ แต่ยังต้องพิจารณาค่าครองชีพในประเทศนั้นด้วย 

นอกจากนี้ ในส่วนประเทศที่แม้ไม่มีการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ และไม่ได้นำมาพิจารณาว่ามีการขึ้นหรือไม่ขึ้นค่าแรง จะเห็นว่าค่าแรงที่ได้นั้น ก็ไม่ได้น้อยไปกว่าประเทศที่มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำหรืออาจจะสูงกว่าด้วยซ้ำไป เช่น 6 ประเทศในสหภาพยุโรป ได้แก่ ออสเตรีย ไซปรัส เดนมาร์ก ฟินแลนด์ อิตาลี และสวีเดน ที่กำหนดค่าจ้างให้เป็นการเจรจาต่อรองร่วมกัน 

จากการสำรวจพบว่าไซปรัส ซึ่งกำหนดค่าแรงบนการเจรจาต่อรองร่วมกัน สำหรับผู้ช่วยร้านค้า ผู้ช่วยพยาบาล เสมียน ช่างทำผม และผู้ช่วยดูแลเด็ก ได้ค่าจ้าง 870 ยูโร (32,702 บาท) ต่อเดือน นอกจากนี้ จากการสำรวจค่าแรงของผู้ลี้ภัย พบว่าสำหรับผู้ขอลี้ภัยที่ทำงานเป็นแรงงานไร้ฝีมือในภาคเกษตร ค่าจ้างขั้นต่ำต่อเดือนคือ 425 ยูโร (15,975 บาท) พร้อมที่พักและอาหาร หรือหากไม่ต้องการที่พักและอาหาร ค่าแรงก็เพิ่มสูงขึ้นอีกเป็น 767 ยูโร ต่อเดือน (28,816 บาท) 

ค่าแรงขั้นต่ำไทย ต่ำไปไหม ทำไมไม่เท่ากัน  

ค่าแรงขั้นต่ำ หมายถึงจํานวนเงินค่าตอบแทนแบบต่ำสุด ที่นายจ้างต้องจ่ายเงินให้ลูกจ้างสําหรับการทำงาน ซึ่งโดยมากกำหนดโดยรัฐ ในที่นี้จะเรียกว่าค่าแรงขั้นต่ำและแน่นอนว่าค่าแรงขั้นต่ำส่งผลดีต่อลูกจ้างซึ่งจะได้รับการคุ้มครอง ปกป้องจากการแสวงหาประโยชน์ของนายจ้าง รวมถึงได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม โดยนิวซีแลนด์เป็นประเทศแรกที่มีกฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำใน ค.ศ. 1894

สำหรับประเทศไทย แนวคิดเรื่องค่าแรงขั้นต่ำมีจุดประสงค์คือ เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้าง เพื่อให้ได้ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม ลูกจ้างสามารถดำรงชีพอยู่เหนือระดับความยากจนได้ ซึ่งค่าแรงขั้นต่ำกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายแก่ลูกจ้างทุกคน ไม่ว่าจะมีสัญชาติ ศาสนา หรือเพศใดก็ตาม ครอบคลุมไปถึงลูกจ้างต่างชาติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้บังคับใช้แก่ลูกจ้างในภาคราชการและรัฐวิสาหกิจแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังระบุว่าค่าแรงขั้นต่ำมีให้เพียงพอสำหรับดำรงชีพคนเดียว ไม่รวมครอบครัว ขณะที่ตามความหมายของสากลระบุว่าต้องเพียงพอให้คนงานเลี้ยงดูภรรยาและบุตรอีก 2 คนได้ 

ประเทศไทยมีการประกาศกำหนดค่าแรงขั้นต่ำมาตั้งแต่ พ.ศ. 2516  โดยเริ่มจาก 12 บาทในรัฐบาลพลเอกถนอม กิตติขจร และล่าสุดอยู่ที่ 331 บาท (กรุงเทพฯ และปริมณฑล) ซึ่งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2563 ในรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งปัจจุบันมีการถกเถียงกันว่าค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทยนั้นควรปรับขึ้นได้หรือยัง และควรปรับเป็นเท่าไร เท่าไรถึงจะเหมาะสมกับค่าครองชีพที่นับวันยิ่งสูงขึ้น ดังเช่นปรากฏการณ์ หมูแพง น้ำมันแพง ข้าวของขึ้นราคาที่เกิดขึ้นในตอนนี้

จากการสัมภาษณ์บุญยืน สุขใหม่ นักสหภาพแรงงาน ในประเด็นเรื่องการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ เขามองว่า “สมมติบางคนอาจจะจบมัธยมปลายมาแล้วเริ่มทำงาน หรือบางคนอาจจะไม่ได้เรียนมา แล้วมาทำงาน ทำไประยะหนึ่งมีสกิลเพิ่มขึ้น คนเหล่านั้นก็ไม่ควรจะถูกนิยามด้วยคำว่าค่าแรงขั้นต่ำ คือตอนที่เรายังไม่มีสกิลก็มีค่าแรงเริ่มต้นในการทำงานแต่ทุกวันนี้มันกลายเป็นว่าค่าแรงขั้นต่ำมันถูกบังคับใช้ในทุกคน เป็นเหมาค่าแรง เป็น subcontract สิบกว่าปีก็ยังใช้ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ ซึ่งจริงๆ แล้วมันผิดกับนิยามความหมายของคำว่าค่าจ้างขั้นต่ำเป็นค่าจ้างพื้นฐาน สำหรับผู้ที่เพิ่งเข้ามาในการประกอบวิชาชีพในระบบแรงงานเบื้องต้น” 

ในขณะที่ ศุภชัย ศรีสุชาติ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และที่ปรึกษาคณะกรรมการค่าจ้าง ให้ความเห็นส่วนตัวว่า “ค่าแรงขั้นต่ำโดยนิยามของบ้านเรา ออกแบบไว้สำหรับแรงงานแค่คนเดียว ให้ใช้พอที่จะดูแลตัวเองตามอัตภาพ แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าเขามีครอบครัว เขาจะเพียงพอเลี้ยงครอบครัว ในแง่ของการมีครอบครัว เราอาจมีข้อสมมติฐานบางตัวว่าครอบครัวก็ต้องทำงานด้วยนะ หารายได้เข้ามาด้วย เพราะฉะนั้นตัวค่าแรงขั้นต่ำบ้านเรา จึงถูกตั้งคำถามว่าทำไมไม่เยอะเหมือนกับที่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) แนะนำ หรือว่าทำไมไม่เป็น 500 – 600 บาท เพราะว่าอันนั้นเขามีการคิดคำนึงถึงส่วนที่แรงงานมีครอบครัวไปด้วย แต่ในจำนวนสามร้อยกว่าบาทที่เราคิดมา มันก็จะมีในส่วนที่เราเรียกว่าเป็นการดูแลชีวิตตามอัตภาพ”  

หากพิจารณาดูจากข้อมูลจะพบว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทยนั้นมีความไม่แน่นอน และในแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน รวมไปถึงบางครั้งก็มีการขึ้นบางพื้นที่ไม่ขึ้นบางพื้นที่ อย่างในกรุงเทพมหานคร มีการขึ้นในปีเดียวสองครั้งในช่วงรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์, รัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐบาลชวน หลีกภัย และรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร นอกจากนี้พบว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยอยู่ในยุคของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเพิ่มจาก 215 บาท เป็น 300 บาท

ทั้งนี้ บุญยืน มองเรื่องค่าแรงขั้นต่ำที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ว่า “ในยุคที่ค่าแรงเท่ากันทั่วประเทศ นึกภาพว่าซื้อของในเซเว่นที่เชียงใหม่กับที่สุไหงโกลกมันก็ราคาเท่ากัน แล้วทำไมค่าแรงถึงไม่เท่ากัน ในยุคที่ค่าแรง 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ถามว่านายจ้างเจ๊งไหม ก็ไม่เจ๊ง ก็อยู่ได้ไง แล้วมาบอกว่าวันนี้ขึ้นอีกมันจะเจ๊งเหรอ”

“ถ้าจะบอกว่าใช้เกณฑ์ GDP จังหวัด ระยองต้องได้ค่าจ้างเยอะที่สุด แต่ในวันนี้ค่าจ้างขั้นต่ำของระยอง 335 บาท ถูกกว่าชลบุรีอีก ทั้งที่ระยองมี GDP สูงกว่าก็ควรจะได้ค่าแรงสูงที่สุด คุณอ้างว่าเอา GDP เอาเงินเฟ้อมาคิด แต่ในทางปฏิบัติมันไม่สมเหตุสมผล มันไม่เป็นไปตามตรรกะอยู่ดี“

ขณะที่ศุภชัย อธิบายว่า คณะกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำมีสองระดับใหญ่ คือที่เป็นระดับชาติแล้วก็เป็นของจังหวัด จังหวัดมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กับอีกส่วนหนึ่งเป็นระบบที่เราเรียกว่าไตรภาคี ก็จะมีอีกสองกลุ่มก็คือกลุ่มนายจ้างที่เป็นผู้แทนนายจ้าง แล้วก็กลุ่มที่เป็นผู้แทนลูกจ้างโดยหลักของจังหวัดก็จะเสนอตัวเลขมาที่ส่วนกลาง อนุฯ วิชาการส่วนกลางก็จะทำการกลั่นกรองว่าตัวเลขตัวนั้นเมื่อมองในภาพรวมแล้วเหมาะสมไหม

“เราก็มีสูตรที่เป็นสูตรกลางต้องเรียนว่าสูตรกลาง คิดมาเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว โดยตัวผมกับหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ สมัยที่เป็นปลัดกระทรวงแรงงานเเล้วก็ได้สูตรขึ้นมาสูตรหนึ่งในการปรับขึ้น นอกจากนี้ก็มีทีมของสภาพัฒน์ฯ กับแบงก์ชาติมาช่วยกัน สูตรที่ทำการปรับตรงนั้นมันดูในสภาวะความเจริญเติบโตของจังหวัด ว่าในจังหวัดหนึ่งมีการเติบโตมากน้อยแค่ไหน ดูเรื่องค่าครองชีพกับอัตราเงินเฟ้อ ดูเรื่องของความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการที่เรียกว่าเป็นผลิตภาพของแรงงาน จากสูตรนั้นทำให้แต่ละจังหวัดก็จะมีตัวเลขที่ต่างกัน”

อย่างไรก็ตาม ศุภชัย แสดงความเห็นส่วนตัวว่า ถ้าจังหวัดอยู่ในบริเวณละแวกเดียวกัน ตัวเลขค่าแรงต่างกันเยอะมาก ก็จะเกิดการเคลื่อนย้ายแรงงาน อีกทั้งค่าครองชีพแต่ละจังหวัดแตกต่างกัน การเติบโตก็ต่างกัน การจะขึ้นในอัตราเดียวกันหมด ก็อาจจะสร้างความสูญเสียอะไรบางอย่างได้เหมือนกัน จังหวัดใดมีโครงสร้างเป็นภาคเกษตรเยอะ การขึ้นค่าจ้างก็อาจจะไม่เหมือนภาคอุตสาหกรรม

ทำไมค่าแรงขั้นต่ำของไทยถึงขึ้นยากนัก

กระบวนการการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของไทยต้องผ่านคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคี โดยคณะกรรมการเหล่านี้มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐมนตรีตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551 มีปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกรรมการ มีผู้แทนฝ่ายรัฐบาล 4 คน ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ฝ่ายละ 5 คน รวม 15 คน แน่นอนว่าทุกครั้งทีมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ หรือเพิ่มค่าแรง จะต้องเห็นชอบ 2 ใน 3 เสียง จึงเกิดการตั้งคำถามว่าในกระบวนการนี้มีความเสมอภาคหรือไม่

บุญยืนให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า “องค์กรไตรภาคี สามฝ่ายต้องมีเสียงเท่าเทียมกัน แล้วความรู้ก็ต้องเท่าเทียมกันด้วย แต่องค์กรไตรภาคีในบ้านเราทุกวันนี้รัฐมนตรีแต่งตั้งตัวแทนมา เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม สภาลูกจ้างส่งตัวแทนมาแล้วรัฐมนตรีเป็นคนเลือก แตกต่างจากในอดีตที่มีการเลือกตั้งมา พูดง่ายๆ ว่าปัจจุบันนี้มีการวิ่งเต้นกัน มีการล็อบบี้เพื่อที่จะให้รัฐมนตรีแต่งตั้งตัวเองเป็นคณะกรรมการค่าจ้าง ฉะนั้นคนเรานั้นวิ่งไปล็อบบี้ให้เขาแต่งตั้งตัวเอง การที่จะต่อสู้เพื่อลูกจ้างก็เป็นไปไม่ได้”

“ฝั่งตัวแทนนายจ้างมากับสภาอุตสาหกรรม มาจากหอการค้า เขาเลือกกันมา 5 คน แล้วรัฐมนตรีก็เป็นคนแต่งตั้งเหมือนกัน และทีนี้ 5 คนที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ กระทรวงแรงงานก็มาจากอธิการบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานบ้าง มาจากปลัดกระทรวงแรงงานบ้าง มาจากกรมพัฒนาฝีมือการค้า คือให้ได้ 5 คนตัวแทนจากรัฐ สุดท้ายใครเป็นคนชี้ว่าขึ้นไม่ขึ้น”

เช่นเดียวกันกับ พรเทพ เบญญาอภิกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่มองว่ากระบวนการของคณะกรรมการค่าจ้างแบบไตรภาคีนั้น ตัวแทนของแรงงานอาจจะไม่เชื่อมโยงกับกลุ่มแรงงาน เป็นการดำเนินงานในวงแคบๆ จึงไม่แน่ใจว่าอำนาจการต่อรองของแรงงานนั้นใช่สิ่งที่แรงงานต้องการจริงๆ หรือไม่ และกลุ่มตัวแทนมีประสบการณ์เชื่อมโยงในฐานะตัวแทนลูกจ้างมากน้อยแค่ไหน

โดยอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการค่าจ้างมีอำนาจกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำรายวันและรายชั่วโมงได้ ครอบคลุมลูกจ้างรายวัน รายเดือนรายเหมา และการจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้นั้น ต้องมีเกณฑ์ในการพิจารณา 9 ประการ ได้แก่ ดัชนีค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ ราคาของสินค้า มาตรฐานการครองชีพ ต้นทุนการผลิต ความสามารถของธุรกิจ ผลิตภาพของแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวม และสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม

ค่าแรงไทยควรขึ้นทุกปีไหม แล้วปีนี้จะขึ้นหรือเปล่า

การขึ้นหรือไม่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นอำนาจการตัดสินใจของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งต้องศึกษา พิจารณาข้อมูล ข้อเท็จจริงประกอบ แต่หากคณะกรรมการค่าจ้างเห็นว่าไม่จำเป็นต้องปรับ ก็จะไม่มีการต้องปรับขึ้น ทั้งยังมีอำนาจในการชะลอ หรือลดค่าจ้างได้ รวมถึงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทุกระดับ ซึ่งบุญยืนมองว่า

“ต้องขึ้นทุกปีครับ มันเป็นปัญหาเพราะว่าค่าจ้างไม่ขยับ หลายคนบอกว่าการขึ้นค่าแรงเดี๋ยวจะเจ๊งกันหมด ของจะขึ้นราคา แต่ถามว่าทุกวันนี้ ค่าแรงยังไม่ขึ้นเลย แต่ว่าของขึ้นราคาไปสองรอบแล้วนะ เพราะอะไร มันไม่มีเหตุไม่มีผลเลย คุณอธิบายแบบกำปั้นทุบดินกันมาก ทำไมเวลาของขึ้นราคาไม่พูดกันว่าค่าแรงก็ต้องขึ้นด้วยสิ ถ้าคุณจะใช้ตรรกะเดียวกันแบบนี้ มันถึงจะยุติธรรม”

ขณะที่ศุภชัย แสดงความเห็นส่วนตัวว่า “เราไม่ได้ขึ้นค่าแรงทุกปี แม้ว่าค่าครองชีพมันปรับขึ้น แต่ค่าครองชีพที่ปรับขึ้นตัวนั้นบางปีมันก็อาจจะไม่ได้ก้าวกระโดด บางปีมันก็ค่อยๆ ปรับขึ้น บังเอิญว่าปีนี้เราอาจจะเห็นว่าของหลายอย่างแพง อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นเราต้องดูสภาพเศรษฐกิจด้วย ตอนนี้มีโควิด เราคิดว่าถ้าปรับขึ้น เราปรับขึ้นเยอะได้แค่ไหน ถ้าเยอะ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือสถานประกอบการที่ลังเลใจว่าจะจ้างแรงงานหรือเปล่า ก็อาจจะตัดสินใจในการที่จะปลดคนงานทิ้งเลย

“เพราะฉะนั้นถ้าเราไปปรับขึ้น สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นก็คือมันอาจจะเกิดผลกระทบต่อสถานประกอบการ อันนี้ก็จะเป็นตัวแปรตัวหนึ่งที่เราต้องดูด้วย และการปรับค่าแรงขั้นต่ำไม่ใช่แค่เรื่องค่าใช้จ่ายของลูกจ้างเท่าไหร่ นายจ้างต้องเสียเงินเพิ่มเท่าไหร่ แต่ว่าเราดูในแง่ของภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศด้วย”

ขณะที่ พรเทพ ในฐานะนักวิชาการผู้เคยเขียนงานวิจัยศึกษานโยบายค่าแรง 300 บาทในยุคพรรคเพื่อไทยมองว่าการขึ้นค่าแรงอาจจะไม่ได้มีผลต่อการจ้างงานมากนัก

“จากงานศึกษาผลกระทบของการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทในปี 2013 พบว่าต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นราว 1% เท่านั้น และการขึ้นค่าแรงนี้เป็นส่วนหนึ่งในแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการปรับตัวเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต มากกว่าจะแข่งขันเรื่องแรงงานราคาถูก ค่าแรงในไทยเหมือนถูกแช่แข็งไว้หลายปี สัดส่วนการเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำในไทยโตน้อยมาก เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อและอัตราการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น”

โดยปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำของไทยอยู่ที่ 313 บาท ในจังหวัดจังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา ถือเป็นจังหวัดที่ค่าแรงขั้นต่ำที่ต่ำสุดจากทั้งประเทศ ในขณะที่ ในกรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร นั้นมีค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 331 บาทต่อวัน และค่าแรงขั้นต่ำที่สูงที่สุดในประเทศคือ 336 บาทต่อวัน ในจังหวัดชลบุรี และภูเก็ต

และไม่นานมานี้ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เสนอให้รัฐบาลปรับค่าแรงเป็น 492 บาททั่วประเทศ แต่ปัจจุบันยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดจากรัฐบาลว่าจะขึ้นหรือไม่ เมื่อไร และหากขึ้นขึ้นที่ตัวเลขเท่าไร ซึ่งศุภชัยกล่าวถึงประเด็นนี้ในมุมมองส่วนตัวว่า

“เราไม่ได้ขึ้นมาสักพักหนึ่งแล้ว คิดว่ามีแนวโน้มที่จะมีการปรับขึ้น แต่ปรับเท่าไรขอให้รอดูสักนิด เพราะว่าสถานการณ์รายวันมันเปลี่ยนเร็วมาก คิดว่าไม่นานอย่างที่คิด โดยนโยบายน่าจะเสร็จก่อนการเลือกตั้ง เพราะว่าหลายรัฐบาลก็ใช้นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำเป็นนโยบายในการหาเสียงด้วย ผมคิดว่าก็คงจะมีอะไรที่ชัดเจนมากขึ้นก่อนการเลือกตั้ง”

 

 ดูข้อมูลที่ https://rocketmedialab.co/database-minimum-wage

 

เกี่ยวกับ Rocket Media Lab

Rocket Media Lab คือแหล่งข้อมูลติดตามประเด็นสังคม ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เพื่อต่อยอดในงานข่าว

เอกลักษณ์ของ Rocket Media Lab คือการคัดเลือกโจทย์วิจัยจากประเด็นที่มีคุณค่าข่าว (newsworthy) นำเสนอเป็นสองส่วน คือ 1) ฐานข้อมูลดิบ เป็นฐานข้อมูลสาธารณะให้สื่อมวลชนและผู้ที่สนใจสามารถอ้างอิงได้ และ 2) บทวิเคราะห์ เป็นบทความความคิดเห็นที่ตั้งอยู่บนฐานข้อมูล

Rocket Media Lab ออกแบบการวิจัยด้วยระเบียบวิธีหลากหลาย อาทิ การค้นคว้าสอบทานจากฐานข้อมูลสาธารณะ ทั้งที่มีอยู่แล้วและที่รวบรวมขึ้นใหม่ การสำรวจทัศนคติและพฤติกรรมของคน ผ่านแบบสอบถามหรือเครื่องมือติดตามบทสนทนาในสื่อสังคม การทบทวนวรรณกรรม และการสัมภาษณ์

Rocket Media Lab ได้รับทุนสนับสนุนการดำเนินงานจาก National Endowment for Democracy (NED) เป็นเวลา 1 ปีนับตั้งแต่ 1 ต.ค. 2563 จนถึง 30 ก.ย. 2564

https://rocketmedialab.co
https://www.facebook.com/rocketmedialab.co
https://twitter.com/rocketmedialab
contact.rocketmedialab@gmail.com

 
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: