ยอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้า 100% (EV) ในประเทศไทย เดือน มี.ค. 2566 สูงถึง 8,522 คัน เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเดือนที่ 3 สถิติ EV ที่จดทะเบียนใหม่สะสม 61,594 คัน เป็นรถจักรยานยนต์สูงสุด รองลงมาคือรถยนต์
เมื่อช่วงปลายเดือน เม.ย. 2566 สำนักข่าวไทย รายงานว่านายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานสถิติจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) 100% ในประเทศไทย และยินดีที่ไทยมียอดการจดทะเบียนรถ EV เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังยอดจดทะเบียนรถ EV เพิ่มขึ้นในเดือน มี.ค. 2566 กว่า 8,500 คัน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ของปีนี้ อันเป็นผลมาจากรัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนการใช้รถ EV อย่างจริงจัง และเปิดโอกาสให้รถ EV หลายแบรนด์เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย
นายอนุชา กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม รายงานสถิติจำนวนรถจดทะเบียนใหม่ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ จำแนกตามชนิดเชื้อเพลิง ปี 2566 ที่เผยตัวเลขการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) 100% เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ไทยมีมาตรการสนับสนุนการใช้รถ EV และมีรถ EV หลายแบรนด์เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย และเข้าร่วมงานมอเตอร์โชว์ กับงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป ครั้งที่ผ่านมา ทำให้มียอดจองรถ EV เพิ่มขึ้น และค่ายรถ เช่น Tesla BYD MG ทยอยส่งมอบรถ โดยขณะนี้มีผู้จองรถที่ได้รับรถ เริ่มมาจดทะเบียนรถ EV 100% เดือนมีนาคม เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.พ. เฉลี่ย 1,000-1,500 คัน และยังไม่พบปัญหาเกี่ยวกับการจดทะเบียนรถ EV สำหรับสถิติรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่จดทะเบียนใหม่สะสม รวม 61,594 คัน โดยเป็นรถจักรยานยนต์สูงสุด รองลงมาคือรถยนต์
ต์นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 ที่นั่ง หากแยกเป็นรายเดือนพบว่า ยอดจดทะเบียนเดือนมีนาคม 2566 สูงสุด จำนวน 8,522 คน เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ของปี นับจากเดือนมกราคม 2566 ที่มียอดจดทะเบียน 4,543 คัน และเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่มียอดจดทะเบียน 7,335 คัน และเมื่อแยกประเภทรถ EV ที่จดทะเบียนในเดือนมีนาคม พบว่า รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 ที่นั่ง จดทะเบียนสูงสุด 6,205 คัน รองลงมาคือ รถจักรยานยนต์ 2,263 คัน
“การจดทะเบียนรถ EV ในไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญของไทยในการเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำในอนาคต เพราะรถยนต์ไฟฟ้าเป็นนวัตกรรมทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ซึ่งถือเป็นผลสำเร็จจากการดำเนินมาตรการเชิงรุกของรัฐบาล เพื่อสนับสนุนให้เกิดการผลิตและใช้ยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศมากขึ้น อันเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม” นายอนุชา กล่าว
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ