เปิดตัวโครงการ RIAN ตั้งเป้าหนุนเกษตรกร 30,000 ราย มีโอกาสเข้าถึงนวัตกรรมเท่าทันภูมิอากาศ

กองบรรณาธิการ TCIJ 8 ก.ค. 2566 | อ่านแล้ว 1821 ครั้ง

เปิดตัวโครงการ RIAN ตั้งเป้าหนุนเกษตรกร 30,000 ราย มีโอกาสเข้าถึงนวัตกรรมเท่าทันภูมิอากาศ

องค์การวินร็อค อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดตัวโครงการ RIAN พร้อม MOU ร่วม 5 หน่วยงาน ตั้งเป้าหนุนเกษตรกร 30,000 ราย มีโอกาสเข้าถึงนวัตกรรมเท่าทันภูมิอากาศ

เมื่อช่วงเดือน มิ.ย. 2566 องค์การวินร็อค อินเตอร์เนชั่นแนล โดยกระทรวงการเกษตร รัฐบาลสหรัฐอเมริกา เปิดโครงการเครือข่ายนวัตกรรมด้านการเกษตรประจำภูมิภาค (Regional Agriculture Innovation Network - RAIN) หรือโครงการเรน เพื่อสนับสนุนให้มีการใช้งานนวัตกรรมเท่าทันภูมิอากาศ (climate smart innovations - CSI) เพิ่มผลผลิต ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และขยายการค้าขายในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยผ่านการสร้างศูนย์นวัตกรรมด้านภูมิอากาศ พร้อมลงนามความร่วมมือกับ 5 พันธมิตรไทยและต่างชาติ เดินหน้านวัตกรรมด้านเกษตร โดยไบโอเทค-สวทช. เป็น 1 ในพันธมิตรที่จะมีความร่วมมือด้าน “สนับสนุนการขยายผลนวัตกรรมเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มีส่วนช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ลดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและเพิ่มโอกาสเชิงพาณิชย์” โดยพิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นางเกว็นโดลิน คาร์ดโน อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย พร้อมด้วยนายวิลเลียม สปาร์คส์ ผู้อำนวยการโครงการ RAIN ดร.เจือจันทร์ ตั้งเติมทอง ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคโครงการ RAIN ผู้บริหารจากทั้ง 5 หน่วยงานที่ร่วม MOU ซึ่งมี ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค ร่วมในพิธีเปิด

นายวิลเลียม สปาร์กส์ ผู้อำนวยการโครงการ RAIN ให้คำมั่นว่า ภายในปี พ.ศ. 2570 โครงการเรนจะทำการส่งเสริมให้เกษตรกรจำนวน 30,000 คน ได้มีการนำนวัตกรรมเท่าทันภูมิอากาศ 30 ชนิด ซึ่งจะส่งผลช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าได้ปริมาณ 76,000 ตัน ทั้งนี้ โครงการเรนจะมุ่งเน้นการทำงานกับพืชเศรษฐกิจ ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ลำไย ทุเรียน มะพร้าว และมังคุด นอกจากนี้ โครงการเรน ยังสนับสนุนการริเริ่มศูนย์นวัตกรรมด้านภูมิอากาศนานาชาติสำหรับภาคการเกษตร แห่งแรกที่จะจัดตั้งขึ้นนอกประเทศสหรัฐอเมริกา โดยที่ศูนย์นวัตกรรมฯ ดังกล่าว จะได้มีการแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่ดีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องการเกษตรและการป่าไม้เท่าทันภูมิอากาศ และยังมีส่วนช่วยในการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศในระดับโลกด้วยเช่นกัน

ในงานเปิดตัวโครงการเรน มีการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่างองค์การวินร็อค อินเตอร์เนชั่นแนล และพันธมิตรที่มีความโดดเด่นทั้งไทยและต่างชาติจำนวนทั้งสิ้น 5 องค์กร ได้แก่

1) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประเด็นความร่วมมือ: สนับสนุนการขยายผลนวัตกรรมเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มีส่วนช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ลดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและเพิ่มโอกาสเชิงพาณิชย์

2) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ประเด็นความร่วมมือ: การส่งเสริมการใช้นวัตกรรมเท่าทันภูมิอากาศเพื่อเพิ่มผลผลิต ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และขยายโอกาสทางการขาย

3) บริษัท ซีพีเอส อะกริ จำกัด ประเด็นความร่วมมือ: การขยายการใช้งานและการบูรณาการของข้อมูลด้านภูมิอากาศในเทคโนโลยีด้านการเกษตรสำหรับเกษตรกรผู้ผลิตข้าว มันสำปะหลัง และพืชสวน

4) บริษัท ฮาร์มเลส ฮาร์เวสต์ จำกัด ประเด็นความร่วมมือ: การขยายการนำแนวทางการเกษตรฟื้นฟูและเท่าทันภูมิอากาศสำหรับภาคการผลิตและการแปรรูปมะพร้าวที่ส่งผลดีต่อทั้งเกษตรกรและสิ่งแวดล้อม

5) ศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยการวิจัยและบัณฑิตศึกษาด้านการเกษตร (SEARCA) ประเด็นความร่วมมือ: การเร่งให้การเกิดเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานโดยผ่านนวัตกรรมด้านการเกษตรและการขยายผลเทคโนโลยีเท่าทันภูมิอากาศที่จะช่วยเพิ่มผลผลิต ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และขยายโอกาสทางการขาย

ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยถึงประเด็นความร่วมมือครั้งนี้ว่า สวทช. โดยไบโอเทค ร่วมกับ ม.เกษตรศาสตร์ ดำเนินโครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโดยเทคโนโลยีเครื่องหมายโมเลกุลสำหรับประเทศลุ่มน้ำโขง มาตั้งแต่ปี 2547 เพื่อส่งเสริมการนำเทคโนโลยีเครื่องหมายโมเลกุลในการคัดเลือกพันธุ์ (Marker Assisted Selection; MAS) มาใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวในปัจจุบันของประเทศในเขตลุ่มน้ำโขง โดยเป็นโครงการที่ดำเนินการโดยหน่วยปฏิบัติการค้นหาและใช้ประโยชน์ยีนข้าว (Rice Gene Discovery Unit) ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยร่วมระหว่าง ไบโอเทค สวทช. และ ม.เกษตรศาสตร์ มีการทำงานร่วมกับหน่วยงานทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น กรมการข้าว ม.ขอนแก่น ม.อุบลราชธานี Department of Agricultural Research หรือ DAR จากเมียนมา National Agriculture and Forestry Research Institute หรือ NAFRI จาก สปป.ลาว โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller Foundation) ม.เกษตรศาสตร์ สวทช. และ Generation Challenge Program ในการจัดฝึกอบรมภาคปฏิบัติที่สถานที่วิจัยเพื่อพัฒนาบุคลากรและการทำงานวิจัยร่วมกัน ตลอดจนการให้ทุนการศึกษาทั้งระดับปริญญาโท และปริญญาเอก เพื่อให้นักศึกษาและนักวิจัยนำเอาความรู้และเทคโนโลยีกลับไปปรับปรุงพันธุ์ข้าวของประเทศตัวเองต่อไป

สวทช. ได้ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนพัฒนางานวิจัยด้านมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่งานวิจัยต้นน้ำ เช่น เทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์สะอาด เช่น ระบบการสร้างต้นพันธุ์มันสำปะหลังสายพันธุ์ไทยจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การพัฒนาแนวทางการผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังจากต้นพันธุ์ปลอดโรคอย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยี mini stem cutting และการพัฒนาต้นแบบชุดตรวจแบบรวดเร็วในรูปแบบ strip test สำหรับตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างมันสำปะหลัง เป็นต้น งานวิจัยกลางน้ำ เช่น การวิเคราะห์ฐานข้อมูลค่ามาตรฐานกระบวนการผลิตและการใช้ทรัพยากรการผลิตของอุตสาหกรรมแป้งมันสาปะหลังไทย และงานวิจัยปลายน้ำ เช่น ต้นแบบผลิตภัณฑ์ช้อน ส้อม และมีดไบโอพลาสติก ต้นแบบวัสดุทดแทนไม้ธรรมชาติจากเศษวัสดุเหลือใช้ในไร่มันสำปะหลัง และพัฒนากระบวนการผลิตฟลาวมันสำปะหลังระดับอุตสาหกรรมจากมันสำปะหลังชนิดขมที่มีปริมาณไซยาไนด์สูง พร้อมทั้งได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตฟลาวมันสำปะหลังให้กับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง ได้แก่ บริษัท ชอไชยวัฒน์อุตสาหกรรม จำกัด ภายใต้แบรนด์ Sava) และ บริษัท อุบลซันฟลาวเวอร์ จำกัด (UBS) ภายใต้แบรนด์ Tasuko

นอกจากนี้ สวทช. โดยเนคเทค ยังมีทีมวิจัยด้านการเกษตรประมาณ 30 คนที่คอยวิจัยและพัฒนาเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนเกษตรกรปัจจุบัน Smart Farm หลายแห่งได้เริ่มมีการใช้เทคโนโลยี IoT ติดตั้งเซ็นเซอร์ และจัดทำระบบวัดค่าแสดงผล รวมไปถึงการสร้างระบบควบคุมผ่าน Smart Device เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถบริหารจัดการ และเฝ้าดูสถานการณ์รอบ ๆ แปลงเพาะปลูกได้ ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าว เช่น Agri-Map ระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก: แพลตฟอร์มเป็นเสมือนมือขวาของเกษตรกร เพื่อช่วยบริหารจัดการเชิงรุกออนไลน์ ทั้งนี้ ได้รวบรวมข้อมูลทางภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สภาพพื้นดิน แหล่งน้ำ อากาศ และสามารถนำมาวิเคราะห์หาพืชที่นำมาทดแทนในแปลงของเกษตรกรได้ จัดทำฐานข้อมูลของการเกษตรโดยครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศไทย ทำให้เกิดความเข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโต และปริมาณของผลผลิต ได้แก่ ปริมาณ สัดส่วน และช่วงเวลาของธาตุอาหารที่พืชต้องการ ของแต่ละสายพันธุ์ที่แตกต่างกันออกไป สภาพภูมิอากาศที่มีผลต่อศักยภาพการเติบโต ปริมาณน้ำตามความต้องการของต้นพืช ข้อจำกัดเหล่านี้สามารถใช้ข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ใช้ในการวางแผน บริหารจัดการ เพื่อเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิตได้ ซึ่งสามารถใช้งานได้ผ่านทางแอปพลิเคชันมือถือและบนเว็บไซต์

องค์การวินร็อค อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นองค์การพัฒนาที่มีความโดดเด่นทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและระดับสากล ที่มุ่งเสนอทางออกสำหรับความท้าทายสำคัญของโลกในด้านสังคม เกษตรกรรม และสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบัน องค์การฯ มีการดำเนินงานกว่า 140 โครงการใน 46 ประเทศ ทั้งนี้ องค์การฯ มีความสัมพันธ์กับประเทศไทยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2497 โดยงานภายในประเทศในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีการให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยแก๊ซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และภาคการใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมไปถึงงานด้านการลดปัญหาการค้ามนุษย์

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: