เจาะลึกข้อมูลแรงงานเมียนมากว่า 6.8 ล้านคน มีศักยภาพการบริโภค 1.2 ล้านล้านบาท

กองบรรณาธิการ TCIJ 13 พ.ย. 2566 | อ่านแล้ว 22045 ครั้ง


MI GROUP คาดการณ์ว่าจำนวนแรงงานเมียนมามีจำนวนสูงถึง 6.8 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกับ Gen Z ของประชากรไทย สะท้อนโอกาสของภาคธุรกิจที่จะสามารถนำข้อมูลมาใช้พัฒนาสินค้า-บริการที่สอดรับกับความต้องการและพฤติกรรมการจับจ่ายของกลุ่มแรงงานนี้ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจได้สูงถึง 0.828-1.242 ล้านล้านบาทต่อปี

เมื่อช่วงเดือน ต.ค. 2566 นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด หรือ MI GROUP กล่าวว่า MI GROUP มุ่งมั่นที่จะเคียงข้างแบรนด์ลูกค้าให้ประสบความ มองหากลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ และโอกาสธุรกิจต่างๆ ที่เป็นไปได้อยู่เสมอ เพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเติบโตและบรรลุเป้าหมาย

ล่าสุดMI BRIDGE และ MI Learn Lab ได้นำเสนอข้อมูลของกลุ่มแรงงานชาวเมียนมาที่มีจำนวนมากและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล ซึ่งสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่สินค้าอุปโภคบริโภคและการบริการด้านการเงิน เพื่อไปปรับใช้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาด หรือ การพัฒนาสินค้า-การให้บริการเพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว

การเจาะลึกข้อมูลครั้งนี้ MI Learn Lab ได้ทำวิจัยทั้งในเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ เพื่อศึกษาข้อมูลของกลุ่มแรงงานเมียนมาในประเทศไทยอาจถูกมองข้ามและยังไม่ได้รับการสำรวจในตลาด ซึ่งผลักดันให้ได้วิจัยน่าสนใจฉบับนี้ขึ้นมา โดยวิจัยจากกลุ่มตัวอย่างเพื่อทำความเข้าใจวัตถุประสงค์และแรงขับเคลื่อนในการย้ายถิ่นฐานเข้ามาเป็นแรงงานที่ประเทศไทย รวมถึงศึกษาพฤติกรรมการบริโภค และการใช้เวลาว่างของกลุ่มเป้าหมาย

ทั้งนี้คาดการณ์ว่าจำนวนแรงงานเมียนมามีจำนวนสูงถึง6.8ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกับGen Zของประชากรไทย สะท้อนโอกาสของภาคธุรกิจที่จะสามารถนำข้อมูลมาใช้พัฒนาสินค้า-บริการที่สอดรับกับความต้องการและพฤติกรรมการจับจ่ายของกลุ่มแรงงานนี้ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจได้สูงถึง828,000ล้านบาท –1,242,000ล้านบาทต่อปี

โดยแรงงานชาวเมียนมากว่า 88% ปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น มุ่งหารายได้เป็นสำคัญ และการเข้ามาทำงานในประเทศไทยสร้างรายได้ถึง 10,000 - 15,000 บาทต่อเดือน คิดเป็น 3 - 15 เท่าของเงินเดือนตอนที่อยู่ประเทศเมียนมา กลุ่มแรงงานส่วนมากกำหนดระยะเวลาทำงานในประเทศไทย 3 – 5 ปี เพื่อนำเงินกลับไปตั้งตัวและกลับไปใช้ชีวิตที่ประเทศเมียนมา

นขณะที่กว่าครึ่งของกลุ่มสำรวจไม่ได้กำหนดระยะเวลา แต่มองที่เป้าหมายจำนวนเงินที่ต้องการเก็บให้ครบเป็นสำคัญ และด้วยแรงผลักดันในการเก็บเงินนี้ แรงงานชาวเมียนมาจึงต้องทำงานล่วงเวลามากกว่ากว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน และอย่างน้อย 6 วันต่อสัปดาห์ ส่งผลให้กลุ่มแรงงานดังกล่าวนี้มีเวลาน้อย ทำให้พฤติกรรมการใช้เวลาว่างของกลุ่มแรงงานไปที่กิจกรรม มี 2 ประเภทเมื่อพวกเขามีวันหยุด คือ ‘จับจ่ายซื้อของ’ และ ‘เล่นอินเทอร์เน็ต’

นายวิชิต คุณคงคาพันธ์ Head of International Business Development, MI GROUP กล่าวว่า แรงงานชาวเมียนมาที่อยู่ในประเทศไทย แบ่งช่วงชีวิตออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ภายใต้กรอบการวิจัย ได้แก่ช่วง ‘ช่วงตั้งหลัก’ ที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตในประเทศไทย ‘ช่วงตั้งตัว’ ที่ทำงานและใช้ชีวิตได้ระยะหนึ่งแล้ว และกลุ่มสุดท้าย ‘ช่วงตั้งใจ’ ที่เน้นการติดต่อครอบครัวและเตรียมตัวกลับประเทศเมียนมา แต่ละกลุ่มนี้จะใช้สินค้าและบริการที่แตกต่างกัน สนใจคอนเทนต์ไม่เหมือนกัน รวมถึงมีรายละเอียดของ Media Touchpoint ที่แบรนด์ต้องเลือกใช้อย่างเหมาะสม

จากรายงานครั้งนี้คาดว่าจะสนับสนุนให้นักการตลาด นักกลยุทธ์ รวมถึงแบรนด์ต่างๆ สามารถพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดด้วย Business Insights ที่ครอบคลุม จากรายงาน “ผ่าขุมทรัพย์แรงงานชาวเมียนมาในประเทศไทย” พบว่า แรงงานชาวเมียนมาออมเงินได้ถึง 44% หรือ เกือบครึ่งของรายรับ การออมเงินดังกล่าวนั้น ส่งกลับบ้านประมาณ 2 ใน 3 ซึ่งปัจจุบันนิยมให้นายหน้าผู้ดำเนินการโอนเงินให้ และเหลือเงินเก็บที่ตัวเองเพียง 1 ใน 3

นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างมีความสามารถในการเข้าถึง Mobile Banking แรงงานชาวเมียนมาควบคุมรายจ่ายราว 56% จากรายได้ทั้งหมด โดยมีค่าใช้จ่ายสำคัญ คือ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (37%) ค่าที่อยู่อาศัย (16%) ค่าโทรศัพท์ (3%) โดยพบว่า กลุ่มตัวอย่างเน้นติดต่อสื่อสารผ่านการใช้แอพพลิเคชั่นเป็นหลัก จากพฤติกรรมการใช้เงิน เมื่อเชื่อมโยงกับมิติการบริโภคสื่อของแรงงานชาวเมียนมาที่เน้นการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ เพื่อติดตามละคร ภาพยนตร์ และรายการต่างๆ (97%) ดูข่าวและอ่านข่าวสารบ้านเมือง (87%) ฟังวิทยุและฟังเพลง (48%)

ข้อมูลส่วนหนึ่งพบว่า 74% ของกลุ่มตัวอย่างนี้ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ ในการซื้อของ โดย Lazada เป็นช่องทางอันดับหนึ่ง รองลงมา ตามลำดับ คือ Facebook, Shopee และ TikTok

“ด้วยการวิเคราะห์สัดส่วนพฤติกรรมการเก็บออม การใช้จ่าย ตลอดจนพฤติกรรมการใช้เวลาว่างนอกเหนือจากการทำงาน จะทำให้แบรนด์สามารถเลือกใช้กลยุทธ์การสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ MI BRIDGE และ MI Learn Lab มุ่งหวังให้แบรนด์และองค์กรต่างๆ สามารถบรรลุผลได้ตามเป้าหมาย” นายวิชิต กล่าว

 

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์ | การเงินการธนาคาร


ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: