สกนช.แจงผลดำเนินงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปี 2565 พยุงราคาดีเซล กับ LPG จนฐานะติดลบ 1.3 แสนล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาพร้อมเร่งกู้เงินเพิ่มในปี2566 เพื่อเสริมสภาพคล่อง
Energy News Center รายงานเมื่อช่วงต้นเดือน ม.ค. 2566 ว่านายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ถึงผลการดำเนินงานจากการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปี 2565 และทิศทางปี 2566 ว่า ในภาพรวมจากสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากเหตุการณ์สู้รบระหว่างรัสเซีย – ยูเครนตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2565 จนเป็นวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งกินระยะเวลานานถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องกระทบต่อภาวะการครองชีพของประชาชน รวมทั้งกระทบต่อการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการและเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม โดยเฉลี่ยราคาน้ำมันดีเซล (Gas Oil) ปี 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 135.54 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า 74.26%
ทั้งนี้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เข้ามาสนับสนุนการขับเคลื่อนมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน และผู้ประกอบการ เช่น การทยอยปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) แบบขั้นบันได จากที่ตรึงไว้ที่ 318 บาท/ถังขนาด 15 กก.มาอยู่ที่ 408 บาท/ถังขนาด 15 กก. และการบริหารราคาน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม จากที่ตรึงไว้ไม่เกิน 30 บาท/ลิตร มาอยู่ที่ไม่เกิน 35 บาท/ลิตรในปัจจุบัน
โดยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2565 มีสถานะติดลบมากกว่า 130,000 ล้านบาท ( ติดลบสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่าทุกรัฐบาลในอดีตที่ผ่านมา ) ขาดสภาพคล่องและมีหนี้เงินชดเชยที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงค้างชำระผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นจำนวนมาก จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงกรอบวงเงินและกรอบวงเงินกู้ตามวรรคสามในมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562
อย่างไรก็ดี ภายหลังจากได้ประสานความร่วมมือกับกระทรวงการคลังผ่านกลไกอนุกรรมการฯ ภายใต้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เพื่อจัดหาแนวทางการกู้ยืมเงิน และคณะรัฐมนตรีได้ออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ผ่อนผันให้กระทรวงการคลังค้ำประกันการชำระหนี้ของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 ที่มีผลใช้บังคับแล้ว ทาง สกนช.ได้ดำเนินการกู้เงินรอบแรก 30,000 ล้านบาทโดยลงนามในสัญญาเรียบร้อยแล้วกับธนาคารกรุงไทยและธนาคารออมสิน และส่งผลให้สภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงติดลบลดลง ปัจจุบันประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง วันที่ 1 มกราคม 2566 ติดลบอยู่ที่ 121,491 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนธันวาคม 2565 ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มอ่อนตัวลง ทำให้สามารถเริ่มเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้บ้างและทำให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น ( เก็บเงินดีเซล เข้ากองทุน ในอัตรา 3.72 บาทต่อลิตร เบนซิน95 อัตรา 8.28 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 อัตรา 1.70 บาทต่อลิตร ชดเชย LPG 6.12 บาทต่อกิโลกรัม ข้อมูล ณ วันที่ 4 ม.ค.2566)
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในตลาดโลกยังคงผันผวนด้วยภาวะสงครามและการถดถอยของเศรษฐกิจ ทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์ต่อไป
นอกจากนี้ ในปี 2565 ที่ผ่านมา กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังได้ขยายระยะเวลาการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพออกไปอีก 2 ปี จนถึงวันที่ 24 กันยายน 2567 เนื่องจากยังมีความจำเป็นต้องจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวต่อไปเพื่อเป็นกลไกรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ อีกทั้งยังเป็นการช่วยเกษตรกรให้มีรายได้จากการขายพืชผลทางการเกษตรด้วย
สำหรับในปี 2566 สิ่งที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะต้องดำเนินการในประเด็นหลัก คือการบริหารจัดการสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ให้สามารถดำเนินการได้ตามวัตถุประสงค์ในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันฯ คือการรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ภายใต้สถานการณ์ความผันผวนต่าง ๆ ที่ยังมีอย่างต่อเนื่องทั้งจากการสู้รบในยูเครน และด้านเศรษฐกิจ
โดยแผนการกู้เงินต่อจากนี้จะประสานกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเพื่อบรรจุวาระการกู้ยืมเงินต่อไป
นอกจากนี้ จะมีการทบทวนแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้สอดคล้องกับภาวการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการดำเนินการเชื่อมโยงระบบเพื่อพัฒนาการรับจ่ายเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ