กบน.เร่งเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ เพิ่ม รองรับมาตรการลดภาษีดีเซล 5 บาทต่อลิตร จะสิ้นสุด 20 ก.ค. 2566

กองบรรณาธิการ TCIJ 14 ก.ค. 2566 | อ่านแล้ว 29377 ครั้ง

กบน.เร่งเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ เพิ่ม รองรับมาตรการลดภาษีดีเซล 5 บาทต่อลิตร จะสิ้นสุด 20 ก.ค. 2566

คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เร่งเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ เพิ่มเป็น 5.02 บาทต่อลิตร จากเดิมเก็บอยู่ 4.50 บาทต่อลิตร รองรับมาตรการลดภาษีดีเซล 5 บาทต่อลิตรจะสิ้นสุด 20 ก.ค. 2566 นี้ ขณะที่ภาพรวมกองทุนฯ เริ่มติดลบลดเหลือ -51,884 ล้านบาท จากวิกฤติพลังงานปี 2565 ที่ติดลบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 1.3 แสนล้านบาท โดยกองทุนฯ หยุดชดเชยราคาน้ำมันทุกชนิดและราคา LPG โดยหันกลับมาเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้เข้ากองทุนฯ แทน คาด 21 ก.ค. 2566 จะใช้หนี้เก่าผู้ค้า ม.7 ที่เหลือ 4.3 หมื่นล้านบาทได้หมด

14 ก.ค. 2566 Energy News Center รายงานสถานการณ์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงว่า สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) รายงานสถานะเงินกองทุนฯ ล่าสุด ณ วันที่ 25 มิ.ย. 2566 ว่า กองทุนฯ ยังมีสถานะติดลบแต่เริ่มลดลงเหลือ -51,884 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากบัญชีน้ำมันติดลบเหลือ -11,909 ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบเหลือ -45,975 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการติดลบลดลงจากต้นปี 2565 ที่เกิดวิกฤติราคาพลังงานโลก ตอนนั้นกองทุนฯ ติดลบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 1.3 แสนล้านบาท และทยอยลดลงตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นมา

อย่างไรก็ตามตั้งแต่เกิดวิกฤติราคาพลังงานเมื่อปี 2565 กองทุนฯ เป็นหนี้ผู้ค้า ม.7 กว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันได้ใช้คืนจนเหลือเพียง 43,000 ล้านบาท ซึ่ง สกนช.คาดว่าจะใช้หนี้ดังกล่าวหมดภายใน 21 ก.ค. 2565 นี้ โดยจะใช้เงินจาก 2 ส่วนคือ 1. เงินกู้จากสถาบันการเงินรอบใหม่ 20,000 ล้านบาท และ 2. เงินสดในธนาคาร รวมถึงเงินฝากที่เก็บไว้ที่กระทรวงการคลังอีก 20,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินหมุนเวียนที่เตรียมนำมาชำระหนี้ดังกล่าว

โดยในส่วนของรายรับ ปัจจุบันกองทุนฯ หยุดการไหลออกของเงินได้แล้ว โดยไม่ได้ชดเชยทั้งราคาน้ำมันและ LPG แต่เป็นการเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันทุกชนิดและเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ LPG เข้ากองทุนฯ ด้วย โดย ณ วันที่ 3 ก.ค. 2566 คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติเรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันเข้ากองทุนฯ ดังนี้ ดีเซล 5.02 บาทต่อลิตร, ดีเซลเกรดพรีเมียม 6.52 บาทต่อลิตร, เบนซิน 9.08 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 เรียกเก็บ 2.50 บาทต่อลิตร และ แก๊สโซฮอล์ E20 และ E85 เรียกเก็บ 0.51 บาทต่อลิตร ส่วน LPG เรียกเก็บเข้ากองทุนฯ 0.60 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ส่งผลให้กองทุนฯ มีเงินไหลเข้าทั้งจากบัญชีน้ำมันและ LPG รวมวันละ 335.56 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่า กองทุนฯ ยังจำเป็นต้องอาศัยเงินกู้เพื่อใช้หนี้ผู้ค้า ม.7 เดิมที่เหลืออยู่ 43,000 ล้านบาท ส่วนรายจ่ายประจำนั้น ยังสามารถนำเงินกองทุนฯ ที่มีเงินไหลเข้าทุกวันไปหมุนเวียนได้ สำหรับภาพรวมการกู้เงินจากสถาบันการเงินนั้น ได้เข้าสู่การกู้รอบ 2 ภายใต้กรอบวงเงิน 80,000 ล้านบาท โดยกองทุนฯ ได้กู้สำเร็จแล้ว 20,000 ล้านบาทและใช้หมดแล้วตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2566 และอยู่ระหว่างการกู้อีก 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้กองทุนฯ มียอดกู้จริงจากรอบแรก 30,000 ล้านบาท และรอบสองอีก 40,000 ล้านบาท รวม 70,000 ล้านบาท

ทั้งนี้กองทุนฯ สามารถกู้เงินได้รวมสูงสุดไม่เกิน 1.5 แสนล้านบาท และจะต้องกู้ภายใต้กรอบระยะเวลา 1 ปี หรือภายใน 5 ต.ค. 2566 ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ผ่านมา โดยหลังจากเวลาดังกล่าว สกนช.จะไม่สามารถทำเรื่องกู้ได้อีก

สำหรับ กบน. ยังมีภาระสำคัญที่ต้องเร่งพิจารณาคือ มาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 20 ก.ค. 2566 นี้ โดยหากกระทรวงการคลังไม่ต่ออายุลดภาษีดีเซลอีก จะส่งผลให้ราคาจำหน่ายดีเซลปรับขึ้นถึง 5 บาทต่อลิตร ดังนั้นกองทุนฯ จะต้องเข้าไปพยุงราคาขายปลีกดีเซลให้คงราคาเดิมที่ 31.94 บาทต่อลิตร ด้วยการนำเงินกองทุนฯ ไปชดเชยราคาแทน จากปัจจุบันที่เรียกเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลเข้ากองทุนฯ อยู่ 5.02 บาทต่อลิตร หากเข้าไปพยุงราคาจริงก็จะเหลือเงินเข้ากองทุนฯ เพียง 0.02 บาทต่อลิตรเท่านั้น ดังนั้นคาดว่าก่อนจะสิ้นสุดมาตรการลดภาษีดีเซล ทางกองทุนฯ อาจต้องเรียกเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลเข้าสูงกว่า 5.02 บาทต่อลิตร เพื่อเตรียมพร้อมหากกระทรวงการคลังกลับมาเรียกเก็บภาษีดีเซลเต็มจำนวนต่อไป

สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันโลก ณ วันที่ 3 ก.ค. 2566 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 74.78 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 0.10 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 70.57 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 0.06 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 75.38 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 0.03 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

ขณะที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้รายงานค่าการตลาด ณ วันที่ 3 ก.ค. 2566 โดยค่าการตลาดผู้ค้าน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 2.11 บาทต่อลิตร สำหรับค่าการตลาดกลุ่มเบนซินอยู่ที่ประมาณ 2-3 บาทต่อลิตร โดยภาพรวมค่าการตลาดตั้งแต่วันที่ 1-3 ก.ค. 2566 อยู่ที่ 2.39 บาทต่อลิตร

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: